Search

รีวิวพาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวแบบจัดเต็ม 8 วันที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก พร้อมวิธีเดินทางอย่างละเอียด

Advertisements

รีวิวพาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวแบบจัดเต็ม 8 วันที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก พร้อมวิธีเดินทางอย่างละเอียด

สวัสดีครับผม....ช่วงนี้ใครๆก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ยิ่งตอนนี้ค่าเงินเยนลดต่ำลงยิ่งเหมาะเลยครับ วันนี้ผมเลยมาทำรีวิวพาเที่ยวญี่ปุ่นแบบรวมจบในตอนเดียวให้เพื่อนๆได้ชมได้อ่านกันครับ ใครที่ชอบอากาศหนาวๆหิมะเยอะๆไม่ควรพลาดเลยครับ


สำหรับรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้ผมเดินทางในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้วครับ ซึ่งเป็นหน้าหนาวของญี่ปุ่น ใช้เวลาเที่ยวทั้งหมด  8 วันครับ เดียวผมจะลงรายละเอียดให้ดูด้านล่างครับว่าทริปนี้ไปเที่ยวเมืองไหนบ้าง มีวิธีเดินทางอย่างไร ใช้พาสอะไรไปบ้าง

มาดูแพลนเที่ยวญี่ปุ่นในแต่ละวันก่อนครับ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่1)

วันนี้จะเป็นวันแห่งการเดินทาง โดยเริ่มออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองโดยสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ครับไปถึงสนามบินนาริตะประมาณ 1 ทุ่ม

เมื่อมาถึงสนามบินนาริตะแล้วก็ต่อรถไนท์บัสไปเมือง Kanazawa ราคา JPY 4,780 ต่อคน  รถออก 21:20 ขึ้นรถที่ Narita Airport terminal 3, bus stop No. 7 ครับ

รถจะมาถึงที่เมือง Kanazawa ในตอนเช้าครับ ประหยัดค่าโรงแรมไปได้ 1 คืน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่2)

วันนี้ผมจะเที่ยวในเมือง Kanazawa ครับ เป็นเมืองเล็กๆเที่ยวง่ายและจะนอนที่เมืองนี้ 1 คืน

สถานที่ท่องเที่ยวที่เมือง Kanazawa ประเทศญี่ปุ่น ใช้เวลา 1 วันก็สามารเที่ยวได้ วิธีเดินทางก็ไม่ยากครับ

โดยคืนนี้เข้าพักที่ HOTEL MYSTAYS PREMIER Kanazawa โรงแรมที่ห้องใหญ่มากครับ สามารถเดินไปจากสถานี Kanazawa ได้ด้วย

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่3)

วันนี้จะนั่งรถบัสไปเที่ยวที่ หมู่บ้าน Shirakawago ครับ จากนั้นตอนกลางคืนก็กลับมาที่สถานี Kanazawa เพื่อนมารอรถกลับโตเกียวครับ

โดยนั่งรถไนท์บัสกลับโตเกียวเวลา 22:45 ลงสถานี Shinjuku Station ราคา JPY 4,080

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่4)

วันนี้จะเริ่มเที่ยวในโตเกียวแล้วครับ มีเวลาอยู่ในโตเกียว 2 วันครับโดยวันแรกผมเที่ยวตามนี้ครับ

- วัดอาซากุสะ
- ถ่ายรูปที่สะพานแดงตึกอาซาฮี
- ถ่ายรูปโตเกียวสกายทรี TOKYO SKYTREEจากด้านล่าง
- ศาลเจ้าเมจิ
- ฮาราจูกุ
- ตลาดอะเมโยโกะ(Ameyoko) ตึกม่วง
- เข้าพักที่โรงแรม Agora Place Asakusa (นอนที่นี่สองคืน)

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่5)

วันนี้ก็ยังอยู่ที่เที่ยวที่โตเกียวอีกวันครับ โดยครึ่งวันหลังผมไปเที่ยวที่ Odaiba ด้วยครับ โดยไปเที่ยวตามนี้ครับ

- พระราชวังอิมพีเรียล
- สถานีโตเกียว (แวะซื้อ JR TOKYO Wide Pass)
- แยกชิบูย่า

ส่วนช่วงครึ่งวันหลังข้ามไปเที่ยวที่ Odaiba ครับไปชม กันดั้มก่อนที่จะรื้อออกครับ ที่ Odaiba นั้นมีสถานที่ให้เที่ยวให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ แนะนำเลยครับถ้าใครมีเวลาเหลือ

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่6)

วันนี้เริ่มใช้ JR TOKYO Wide Pass เป็นวันแรก โดยจะออกเดินทางไปเที่ยวที่ GALA Yuzawa ครับ เป็นลานสกี

จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ Takaragawa Onsen เพื่อเข้าพักและแช่ออนเซ็นครับ

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่7)

วันนี้จะออกเดินทางไปที่ kawaguchiko ครับ ไปชมภูเข้าไปฟูจิ ถึงจะเคยมาแล้วแต่ก็อดที่จะไปอีกครั้งไม่ได้ครับ

โดยคืนนี้ผมเข้าพักที่ K's House Mt.Fuji ครับ

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2017 (เที่ยวญี่ปุ่นวันที่8)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วครับ หลังจากที่ครึ่งวันแรกเช่าจักรยานขับเที่ยวๆรอบๆทะเลสาบ kawaguchiko ช่วงบ่ายก็เดินทางกลับเข้าโตเกียวครับ มีเวลาเหลือให้เดินช็อบปิ้งซื้อของฝาก ก่อนที่จะกลับสนามบินนาริตะในตอนค่ำๆ โดยคือนี้ผมจะไปนอนที่สนามบินครับ เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพในตอนเช้า

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2017 (เดินทางกลับ)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายหละครับ เดินทางกลับด้วยแอร์เอเชีย ไฟลท์ XJ601 09.15 ครับ ก็เป็นอันจบสำหรับโปรแกรมคร่าวๆที่ผมวางไว้ในการเที่ยวญี่ปุ่น 8 วันนี้ครับ

พาสต่างๆที่ผมใช้ในการเที่ยวเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้

ต่อมาก็เป็นเรื่องของพาสต่างๆที่ผมใช้ในการเที่ยวเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้ครับ

1 Bus One Day Pass ที่ Kanazawa สำหรับขึ้นรถเมล์ราคา 500 เยน

2 Tokyo Subway 48-hour Ticket ราคา 1,200 เยน

3 One day Yurikamome Pass 820 เยน ใช้เที่ยวที่ Odaiba

4 JR TOKYO Wide Pass 10,000 เยน ใช้ได้ 3 วันติดกัน

เห็นแผนการเที่ยวคร่าวๆแล้วเดียวเรามาดูวันเดินทางจริงกันเลยครับผม.....


วันแรกของการเดินทางก็เริ่มจากที่สนามบินดอนเมืองครับผม รอบนี้ผมเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia X ครับเลยต้องมาขึ้นที่สนามบินดอนเมือง แต่ถ้าใครไม่สะดวกบินที่สนามบินดอนเมืองก็สามารถเลือกสายการบินอื่นได้ครับ ลองค้นหาเที่ยวบินไปโตเกียวของสายการบินต่างๆได้ที่ https://www.traveloka.com/th-th/flight มีเที่ยวบินให้เลือกเยอะเลยครับผม

สายการบิน Air Asia X ที่จะพาเราบินไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้น ต้องมาขึ้นที่สนามบินดอนเมือง ทอลมินอล 1 ครับ โดยขาไปผมเลือกไฟลท์ XJ 606 ออกจากดอนเมืองเวลา 10.45 น. ไปถึงที่สนามบินนาริตะเวลา 19.00 น. ครับ

รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น

ใครที่บินไฟลท์เดียวกับผมก็ควรจะมาถึงสนามบินซัก 7-8 โมงเช้ากำลังดีครับ จะได้มีเวลาเตรียมตัวหรือทบทวนสิ่งของหรืออุปกรณ์ต่างๆที่จะนำไปด้วย และอีกอย่างช่วงเช้าๆแถวสนามบินดอนเมืองรถจะค่อนข้างติดครับ

เอกสารที่ใช้สำหรับเช็คอินก็มีแค่พาสปอร์ตครับ สามารถนำพาสปอร์ตไปยื่นเพื่อเช็คอินที่เค้าเตอร์ได้เลยครับ


ได้ Boarding Pass พร้อมใบ ตม. ของไทยมาเรียบร้อยแล้วครับ ก็ให้ทำการเขียนให้เรียบร้อยครับ จากนั้นก็ให้เข้าไปที่โซนผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศครับ


เครื่องบินของ Air Asia X (XJ606) ที่จะไปสนามบินนาริตะมาจอดรออยู่แล้ว


มาถึงนั่งของผมในไฟลท์นี่คือแถวที่ 33 ครับ ซึ่งเป็นแถวสุดท้ายของโซนนี้ครับ ตอนแรกก็กังวลว่าจะเอนหลังได้มั้ยเนื่องจากเป็นแถวสุดท้ายแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ สามารถเอนเบาะได้เหมือนแถวอื่นๆ


ไฟลท์นี่เครื่องออกตรงเวลาครับ ผมนี่ลุ้นมากๆถ้าดีเลย์มีนี่งานเข้าเลยครับ เพราะผมจองรถไนท์บัสจากสนามบินนาริตะไปยังเมือง Kanazawa ไว้ โดยรถจะออกจากนาริตะเวลา 21.20 น. (เวลาญี่ปุ่น)


หลังจากที่เครื่องไต่ระดับแล้ว แอร์ก็จะมาแจก ใบ ตม. ญี่ปุ่น มาแจกครับ วิธีกรอกก็ไม่ยากเลยครับ ที่กระเป๋าหน้าที่นั่งจะมีวิธีกรอก ใบ ตม. และ วิธีกรอกใบศุลกากร บอกอย่างละเอียดเลยครับแถมเป็นภาษาไทยด้วย

สามารถชมรีวิวการเดินทางอย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/02/AirAsiaX-XJ606.html


ไฟลท์นี้มาถึงที่สนามบินนาริตะก่อนเวลาด้วยครับ เนื่องจากว่าบินตามกระแสลม ทำให้มาถึงก่อนเวลา ขั้นตอนต่อไปก็คือการไปผ่าน ตม. ญี่ปุ่น และไปรับกระเป๋าครับ

เดินตามป้ายรูปกระเป๋าได้เลยครับไม่ยาก ถ้าใครจะต้องไปต่อรถแบบผมหรือต้องการออกไปด้านไวๆ แนะนำให้รีบเดินไปที่ ตม. ครับ อย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำ ให้ไปเข้าด้านนอกแทนครับ เดียวแถว ตม. คนจะเยอะทำให้เสียเวลาครับ


หลังจากผมเดินผ่าน ตม. รับกระเป๋า เสร็จแล้วก็จะออกมาบริเวณนี้ครับ ซึ่งเป็นส่วนของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่น แล้วลงที่ทอลมินอล 2 ก็จะออกมาที่เดียวกันตรงนี้ครับ และก่อนที่ผมจะไปขึ้นรถไนท์บัสจากสนามบินนาริตะไป Kanazawa โดย willerexpress ก็จะทำการแวะซื้อ Tokyo Subway 48-hour Ticket ก่อนครับ เอาไว้ใช้เที่ยวในโตเกียวครับ

Tokyo Subway 48-hour Ticket นั้นสามารถซื้อได้ที่เคาร์เตอร์ของ KeiseiBus ตามรูปภาพด้านบนเลยครับ จะอยู่ตรงข้ามกับที่เราเดินออกมา คือไม่ต้องกลัวหาไม่เจอเลยครับ ออกมาปุ๊ปก็จะเจอเคาร์เตอร์ตั้งอยู่เลย

สำหรับ Tokyo Subway Ticket  จะมีให้เลือก 3 แบบครับ ใช้ได้ทั้งโตเกียวเมโทรและรถไฟ Toei


Tokyo Subway 24-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 800 เยน เด็ก: 400 เยน
Tokyo Subway 48-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 1,200 เยน เด็ก: 600 เยน
Tokyo Subway 72-hour Ticket – ผู้ใหญ่: 1,500 เยน เด็ก: 750 เยน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ tokyometro


ผมเลือกแบบ 48 ชั่วโมงครับ เพราะมีเวลาเที่ยวที่โตเกียวประมาณ 2 วันครับ พอดีเลย การใช้จะนับแบบชั่วโมงครับ ถ้าเริ่มใช้ 8 โมงเช้าก็จะหมด 8 โมงเช้าของอีกวัน คุ้มมากครับ

หลังจากทำธุระเสร็จก็ได้เวลาไปขึ้นรถ willerexpress แล้วครับ โดยจะต้องไปขึ้นที่ Narita Airport terminal 3, bus stop No. 7 รถจะออกเวลา 21.20 น. ครับ แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ terminal 2 ครับก็มีทางเลือกว่าจะนั่งรถไปหรือเดินไปที่ terminal 3 ผมดูเวลาแล้วยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนที่รถจะออก เลยเลือกวิธีเดินไปครับ


ให้เดินตามป้าย terminal 3 ไปเลยครับ ไม่ยากระยะทางประมาณ 600 เมตรได้ครับ

เดินผ่านประตูของสนามบินออกไปข้างนอก อากาศหนาวกระทบตัวเป็นครั้งแรก สุดๆเลยครับ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว ต้อเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันให้พร้อมนะครับ หนาวเข้ากระดูกเลยจริงๆ


เมื่อเดินทางถึงตรงนี้จะเป็นทางแยกครับ ถ้าใครจะนั่งรถเวียนไปที่ terminal 3 ก็ให้เดินไปทางซ้ายครับ จะเป็นป้ายของรถที่จะไปส่งที่ terminal 3 นั่งฟรีครับไม่เสียตัง ส่วนผมเลือกเดินไปทางขวามือครับ เดียวจะเดินไปที่ terminal 3 ระทางจากตรงนี้ก็ 500 เมตรเท่านั้น


ถึงแล้วครับสำหรับป้ายรถเบอร์ 7 ที่จอดรถ willerexpress รถจะมาถึงตรงเวลาครับ ก่อนหน้านี้ก็จะมีรถของบริษัทอื่นมาจอดด้วย


ไม่ผิดคันแน่นอนรถคันนี้ไป Kanazawa คนขับจะบอกเราว่าให้นั่งที่หมายเลขไหน ต้องนั่งตามเลขที่นั่งนะครับ


เนื่องจากว่าเป็นป้ายแรกเลยยังไม่มีคนเท่าไหร่ เดียวรถคันนี้จะแวะรับคนในโตเกียวอีก 2 จุด ก่อนที่จะวิ่งออกนอกเมืองไปยัง Kanazawa ครับ

ที่นั่งของรถ willerexpress จะมีผ้าห่มวางไว้ให้ครับ มีปลั๊กสำหรับชาร์ตอุปกรณ์ไฟฟ้า และที่สำคัญมีที่ปิดหัวด้วยครับ เอาไว้ลดเสียงกรนหรือเสียงรบกวนอื่นๆ


การใช้งานก็แบบคุณพี่คนนี้เลยครับ แฮ่ๆ

สำหรับรถไนท์บัสจากสนามบินนาริตะไป Kanazawa โดย willerexpress จะมีการจอดให้เข้าห้องน้ำระหว่างทางทั้งหมด 3 รอบครับ โดยจะมีเวลาบอกว่าจะจอดถึงกี่โมง สามารถลงไปยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ หรือซื้อขนมมาทานได้ครับ


รถจะจอดที่ฝั่ง East Exit ของสถานี Kanazawa ตรง Platform ที่ 1 ครับ

สามารถชมรีวิวนั่งรถwillerexpressอย่างละเอียดพร้อมวิธีการจองได้ที่ >>  http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/8-ep02-kanazawa-willerexpress.html

ก็มาจบการเดินทางวันแรกกันที่เมือง Kanazawa ครับ


หลังจากที่ไปล้างหน้าล้างตาในสถานี Kanazawa ก็ได้เวลาออกเที่ยวกันแล้วครับ แล้วค่อยมาเช็คอินเช้าที่พักตอนเย็นๆ


ก่อนที่จะออกเที่ยว เพื่อความคล่องตัวเลยต้องเอากระเป๋าใบใหญ่มาฝากล็อคเกอร์ไว้ก่อนครับ โดยกระเป๋าที่ผมใช้ขนาด 26" ราคา 600 เยนต่อวันครับ วิธีการก็ไม่ยากครับ หาตู้ที่ว่างอยู่ จากนั้นก็นำกระเป๋าเข้าไปวาง กดล็อค


สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเมือง Kanazawa ในสามารถทำได้หลายแบบครับ เนื่องจากว่าเป็นเมืองเล็กๆ โดยสามารถทำได้ตามนี้ครับ

การเดินเท้า

ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวใน Kanazawa ส่วนใหญ่จะรวมกันอยู่ในเขตเมือง มีพื้นที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร เมื่อคุณไปที่ถนนด้านหลังของถนนเส้นหลักซึ่งมีบรรยากาศสมัยใหม่ คุณจะสามารถเห็นสถานที่ต่างๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งภาพของเมืองแห่งปราสาทเก่าแก่ พร้อมกับบรรยากาศทางประวัติศาสตร์ของ Kanazawa

รถจักรยาน

คุณสามารถใช้บริการเช่ารถจักรยานสาธารณะ “Machi-nori ” ซึ่งดำเนินการโดยเมือง Kanazawa สามารถเช่าและคืนรถจักรยานได้ที่ cycle port (สถานที่เช่าคืนรถจักรยาน) ซึ่งมี 18 แห่งในเมืองและที่สำนักงาน Machi-nori ทุกแห่ง

รถแท็กซี่

รถแท็กซี่มักจะจอดอยู่ที่ประตูฝั่งตะวันออกของสถานี Kanazawa และจุดสำคัญอื่นๆ การนั่งรถแท็กซี่ไปที่ถนนเส้นหลักเป็นเรื่องง่าย อัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ขนาดเล็กเริ่มต้นที่ 700 เยน และอัตราค่าโดยสารเมื่อไปถึงเขตเมืองอยู่ที่ประมาณ 1,000 เยน

รถโดยสารประจำเส้นทาง

มีถนนสำหรับรถโดยสารประจำทางหลายเส้นในเขตเมือง Kanazawa

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kanazawa-tourism.com/thai/guide/guide2.php


ส่วนผมเลือกวิธีเดินทางด้วยการใช้รถบัสประจำทางครับ ปกติค่ารถจะอยู่ที่ 200 เยนต่อเที่ยวครับ แต่ขึ้นลงบ่อยๆแบบผมแล้ว ซื้อเป็นวันเดย์พาสจะคุ้มกว่าครับ โดยสามารถซื้อได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี้ได้เลยในราคา 500 เยนครับ


น่าตาของบัตร Bus One Day Pass ที่ Kanazawa สำหรับขึ้นรถเมล์ราคา 500 เยนครับ จะมีวันที่พิมพ์ระบุว่าสามารถใช้ได้เฉพาะวันนี้เท่านั้น สามารถขึ้น-ลง ได้ไม่จำกัดครับ ใครชอบหลงขึ้นลงผิดป้ายจะเหมาะมากครับ แฮ่ๆ


ต้องมารอขึ้นที่ป้ายหมายเลข 7 ที่หน้าสถานี Kanazawa  ครับ โดยผมเลือกขึ้นสายสีส้ม (Left Loop) ครับ


ตั้งใจว่าจะลงที่ป้ายเบอร์ 4 ไปเที่ยวเมืองเก่าก่อน แต่นั่งเลยครับ เลยเปลี่ยนไปเที่ยวที่ สวน Kenrokuen และรอบสวนปราสาท Kanazawa ที่ป้ายหมายเลข RL07 แทนครับ


เมื่อลงรถแล้วก็จะมองเห็นปราสาทKanazawa อยู่ใกล้ๆแล้วครับ

แต่ผมจะไปเดินเที่ยวที่ สวน Kenrokuen ก่อนครับโดยให้เดินไปทางซ้ายมือครับ จะเป็นเนินให้เดินขึ้นไป


สำหรับ สวน Kenrokuen จะต้องเสียค่าบัตรครับราคา 310 เยน


สวน Kenrokuen เมือง Kanazawa

สวน Kenrokuen คือ สวนญี่ปุ่นที่สวยงาม มีพื้นที่ 11.4 เฮกตาร์ ตั้งอยู่บนจุดที่สูงทางตอนกลางของ Kanazawa ใกล้กับปราสาท Kanazawa มีสระน้ำขนาดใหญ่และเนินเขาที่สร้างขึ้น รวมทั้งบ้านเรือนหลายหลังซึ่งอยู่ในสวน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทั้งหมด สระน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า “Kasumigaike” เปรียบได้กับทะเลเปิด มีโคมไฟหิน ออกแบบในลักษณะของ koto (พิณญี่ปุ่น) ข้างสระน้ำ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์สวน Kenrokuen



สระน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า “Kasumigaike” เปรียบได้กับทะเลเปิด และเกาะซึ่งเชื่อว่ามีฤๅษีอมตะที่มีพลังพิเศษอาศัยอยู่ ถูกสร้างขึ้นในสระด้วยความหวังที่จะมีชีวิตยืนยาว รวมถึงมีความเจริญรุ่งเรืองในลาภยศ Kenrokuen หมายถึง “ปัจจัย 6 ประการ” สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากคุณสมบัติ 6 ประการที่ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงามสมบูรณ์แบบของสวนแห่งนี้: ขนาดใหญ่ สงบ มีลูกเล่น ความเก่าแก่ ทางน้ำไหล และทัศนียภาพจากในสวน


หลังจากที่เดินชม สวน Kenrokuen เสร็จแล้วก็เดินข้ามมายัง ปราสาท Kanazawa ครับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน

สำหรับที่ปราสาท Kanazawa ผมเดินชมแค่ด้านนอกครับ ไม่ได้เข้าด้านใน


ที่ต่อไปคือ พิพิธภัณฑ์ 21st Century Museum of Contemporary Art, Kanazawa ครับ นั่งรถไปแค่ป้ายเดียว จริงๆเดินไปก็ได้นะครับ

จากป้ายหมายเลข 7 มาลงที่ป้ายหมายเลข 8 ของรถสายสีส้ม (Left Loop) ครับ


พิพิธภัณฑ์ 21st Century Museum of Contemporary Art, Kanazawa คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะรูปแบบใหม่ แตกต่างในด้านภาพลักษณ์จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแบบดั้งเดิม เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2004

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย

งานศิลปะที่หลายคนคุ้นตา เป็นงานซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ใต้สระว่ายน้ำ


หลังจากนั้นผมก็ไปขึ้นรถบัสที่ป้ายเดิมครับ เพื่อไปลงที่ป้าย RL10 เพื่อมายัง วัด Myoryuji หรือ วัด Ninjadera ครับ


วัด Myoryuji ถูกสร้างขึ้นเป็นสถานที่สวดมนต์ของ Kaga ไม่นานหลังจากที่ Toshiie ผู้นำตระกูล Maeda ผู้ก่อตั้ง Kaga ย้ายไปที่ปราสาท Kanazawa เวลาต่อมาในการเตรียมการสำหรับการโจมตีฉุกเฉินจากรัฐบาลกลาง (Tokugawa Shogunate) ตระกูล Maeda ใช้วัดใน Tera-machi เป็นปราการ ตระกูล Maeda จึงเพิ่มจำนวนของฟังก์ชั่นให้วัด Myoryuji เพื่อจะใช้เฝ้าระวังและเป็นป้อม ในการตอบโต้การรุกรานของศัตรู วัด Myoryuji ก็มีความหลากหลายของกลไก นั่นคือเหตุผลที่วัดนี้ยังถูกเรียกอีกชื่อว่าวัด Ninja


เนื่องจากว่าการเข้าชมนั้นต้องทำการจองล่วงหน้ามาครับ เลยทำให้ผมเดินถ่ายรูปได้แค่บางส่วน เลยเลือกที่จะไปเที่ยวต่อที่อื่นดีกว่า


ที่สุดท้ายที่ผมจะเที่ยวนั้นก็คือ เขตร้านน้ำชา Higashi Chaya ที่เป็นเหมือนเมืองเก่าครับ โดยผมต้องไปเริ่มต้นขึ้นรถใหม่ที่สถานี Kanazawa เพื่อไปลงที่ป้ายหมายเลข RL04


Chaya (ร้านน้ำชา) คือสถานที่แห่งการเฉลิมฉลองและความบันเทิง ซึ่งเกอิชา (ผู้ให้ความบันเทิงแบบพื้นเมืองของญี่ปุ่น เพศหญิง) ให้ความบันเทิงกับผู้คนด้วยการร่ายรำ และเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัย Edo ตอนกลางของเมือง Kanazawa มีร้านน้ำชามากมายในอดีต ร้านน้ำชาเหล่านี้ถูกย้ายจากกลางเมืองไปอยู่ใน 4 เขตในปี 1820 เขตร้านน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดใน Kanazawa คือเขต Higashi Chaya



หลังจากใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็ได่เวลากลับไปที่สถานี Kanazawa แล้วครับ ใครมีเวลาผมแนะนำให้มาแวะเที่ยวที่เมือง Kanazawa กันนะครับ เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักและมีเสน่ห์ดีครับ แถมวิธีเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆก็ยังง่ายอีกด้วย

สามารถชมรีวิวนั่งรถบัสเที่ยว Kanazawa อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Kanazawa.html

หลังจากนั้นก็จะพาไปชมที่พักของเราในคืนนี้ครับผม โดยผมจะนอนที่ Kanazawa 1 คืนครับ

สำหรับโรงแรมที่ Kanazawa นั้นมีให้เลือกเยอะมากครับ มีหลายราคาหลายทำเล ผมมีงบที่พักที่ Kanazawa ประมาณคืนละ 2,000 บาท หาไปหามาก็มาเจอกับ HOTEL MYSTAYS PREMIER Kanazawa ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก สถานีรถไฟ Kanazawa โดยผมจองมาในราคา 2,180 บาทจาก Traveloka ครับ


หลังจากที่เอากระเป๋ามาแล้วก็ให้เดินตรงไปเลยครับ จะมองเห็นโรงแรมอยู่ใกล้ๆข้างหน้านี้เองครับ ตึกเหลืองๆตามภาพเลยครับ จะเห็นว่าเป็น โรงแรม Kanazawa ใกล้สถานีรถไฟ มากๆครับ


เดินมา 5 นาทีก็ถึงแล้วครับสำหรับโรงแรม HOTEL MYSTAYS PREMIER Kanazawa แต่อย่างที่บอกครับ ผมเดินมาผิดฝั่ง ทำให้ต้องข้ามถนนอีกครั้งตรงนี้ครับ


ทำการเช็คอิน โดยให้พาสปอร์ตของผู้เข้าพักครับ ขั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรครับ กรอกเอกสารนิดหน่อยเท่านั้นเอง


สำหรับ ที่พักใกล้สถานี Kanazawa โรงแรม HOTEL MYSTAYS PREMIER ที่ผมนอนในคืนนี้ ถือเป็นการนอนโรงแรมแบบจริงจังเป็นคืนแรกในญี่ปุ่นเลยครับ หลังจากที่คืนแรกได้นอนบนรถบัส


เปิดเข้ามาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยครับ เพราะว่าห้องมีขนาดที่ใหญ่มากๆ เคยได้ยินมาว่าโรงแรมที่ญี่ปุ่นห้องจะเล็กๆ แต่ที่ Kanazawa นี่ไม่เล็กนะครับ


ที่ HOTEL MYSTAYS PREMIER Kanazawa ไม่ได้ใหญ่แค่ห้องพักนะครับ ห้องน้ำก็ใหญ่ไม่แพ้กัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆก็เตรียมไว้ให้ครบครับ เรียกได้ว่าไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลย ที่นี่มีให้หมด

ชมรีวิว HOTEL MYSTAYS PREMIER Kanazawa อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Kanazawa-HOTEL.html

ก็เป็นอันจบวันที่ 2 ครับเดียวไปเที่ยวต่อกันวันที่ 3 กันเลยครับ


สำหรับโปรแกรมของวันนี้จะพาไปเที่ยวที่ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ครับซึ่งผมอยากไปมานานแล้ว จากนั้นก็จะกลับมาขึ้นรถไนท์บัสกลับโตเกียวที่สถานี Kanazawa เหมือนเดิมครับ

การเดินทางมาเที่ยวที่ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) นั้นสามารถมาได้หลายทางครับ แต่ในรีวิวนี้ผมเลือกเดินทางจากเมือง Kanazawa ครับ เนื่องจากราคาค่ารถจะถูกกว่ามาจากเมืองทาคายาม่า (Takayama) ครับ โดยจองและใช้บริการรถของ Nohi Bus ครับ

วิธีการจองรถผมใช้การโทรไปจองที่ Nohi Bus Reservation Center TEL (0577) 32-1688 เวลาทำการ 9:00~18:00 ครับ เมื่อโทรจองแล้วเค้าจะให้รหัสบุคกิ้งเรามาครับ เพื่อนำมาจ่ายเงินและรับตั๋วจริงในวันเดินทางครับ

โดยขาไปผมเลือกเวลาออกจาก Kanazawa เวลา 10.50 น. ถึง Shirakawa-go เวลา 12.05 น.

ขากลับออกจาก Shirakawa-go เวลา 16.25 น. ถึง Kanazawa เวลา 17.50 น. ครับ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ nouhibus


เมื่อเดินทางมาถึงที่ Kanazawa ก็ให้ไปรับตั๋วจริงได้ที่ ออฟฟิตของ Hokutetsu ตามรูปนี้ครับ สถานที่ก็อยู่ที่หน้าสถานี Kanazawa แถวๆที่เรานั่งรถบัสเที่ยว


นี่คือตั๋วขาไปครับ ราคา 1,645 เยน (ซื้อไปกลับจะได้ราคานี้ครับถ้าซื้อO ne-way  จะราคา 1,850 เยน) ออกเวลา 10.50 น. เลขที่นั่ง 8C โดยจะต้องไปขึ้นรถที่สถานีKanazawa ฝั่ง East ป้ายหมายเลข 2 ครับ


เตรียมตั๋วให้คนขับดูจากนั้นก็ขึ้นรถได้เลยครับ นั่งประจำที่ตามที่ระบุบนตั๋ว


บรรยากาศระหว่างทางครับเริ่มเห็นหิมะฟูๆแล้วครับ ระยะเวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครับ


รถจะจอดให้ลงบริเวณที่จอดรถบัสครับ ต้องจำทางไว้ดีๆนะครับ เพราะเดียวขากลับเราจะต้องเดินมาขึ้นที่นี่เหมือนเดิมครับ


และแล้วเราก็มาถึง เป้าหมายที่เป็นไฮไลท์สำหรับทริปนี้ครับ ลงมาจากรถก็งงๆนิดหน่อยครับว่าจะต้องเดินไปทางไหน สุดท้ายก็เลือกเดินไปทางซ้ายมือครับซึ่งก็ถูกทาง แฮ่ๆ

ก่อนจะเดินไปเที่ยวเดียวมาทำความรู้จักกับหมู่บ้าน Shirakawa-go กันซักเล็กน้อยก่อนดีกว่าครับ

หมู่บ้าน Shirakawa ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด Gifu มีหมู่บ้านทั้งหมด 16 หมู่บ้านตั้งอยู่ตลอดแนวแม่น้ำ Shougawa และแนวทางหลวง พื้นที่ 95% (35,655ha) คือป่าเขาและเพียง 0.5% เท่านั้นที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม

หมู่บ้าน Shirakawa-go Gassyo-zukuri เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมกดกโลก ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1919 และเป็นบ้านเรือนที่มีความเก่าแก่ที่สุดซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 350 ปี

หมู่บ้าน Gassyo-zukuri ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมกดกโลกเช่นเดียวกันกับสวนสาธารณะแห่งชาติ Hakusan ที่เป็นป่าดิบชื้นเต็มไปด้วยต้นบีช (Beech) นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมายทั้งบ่อน้ำร้อนที่แม่น้ำ Ojirakawa หรือน้ำพุร้อน Hirase


เดียวจุดแรกจะพาไปชมจุดชมวิวก่อนครับ ซึ่งบนนั้นจะสามารถมองเห็น หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) จากมุมสูง โดยให้เดินเข้าไปทางนี้ครับ จะมีป้ายบอกว่าทางไป ViewPoint ครับ


ถึงแล้วครับงดงามมากครับ ภาพนี้เป็นภาพที่ผมเคยเห็นในหนังสือหรือรายการท่องเที่ยวต่างๆ วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเองซะที เดียวไปชมกันเลยครับสำหรับ จุดชมวิวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) มุมสูง



หลังจากชื่นชมความงามจากจุดชมวิวเสร็จผมก็เดินลงมาด้านล่างครับ โดยเดินกลับทางเดิมครับ เดียวต้องไปเดินเที่ยวส่วนอื่นๆต่อ โดยผมมีเวลาเที่ยวที่ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ก่อนที่จะต้องไปนั่งรถกลับ




หลังจากอยู่เที่ยวที่ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) มาทั้งวันก็ถึงเวลากลับแล้วครับ โดยขากลับผมเลือกเวลา 16.25 น. ครับ โดยจะนั่งกลับไปที่ Kanazawa ครับ

ชมรีวิวพาเที่ยว หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) อย่างละเอียดพร้อมวิธีจองรถได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Shirakawa-go.html


กลับมาถึงที่สถานีรถไฟ Kanazawa ประมาณ 6 โมงกว่าครับ ก็เป็นอันว่าโปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่น ที่เมือง Kanazawa และ Shirakawa-go ก็จบไปตามแผนที่วางเอาไว้ครับ



โดยคืนนี้ผมจะนั่งรถไนท์บัสของ willerexpress กลับโตเกียว เวลา 22:45 ลงสถานี Shinjuku Station เดียวผมจะอยู่เที่ยวและค้างที่โตเกียว 2 วันครับ


Shinjuku Bus Terminal  อยู่ตรงข้ามกับ ทางออก South Exit ของสถานี JR Shinjuku ครับ

ชมรีวิวเดินทางจากKanazawa มาที่ Shinjuku ด้วยรถไนท์บัสอย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Kanazawa-to-Shinjuku.html

เดียวไปเริ่มต้นเที่ยวญี่ปุ่นกันต่อในวันที่ 4 กันครับผม


วันที่ 4 ผมจะเที่ยวในโตเกียวด้วย Tokyo Subway 48-hour Ticket ราคา 1,200 เยน ที่แวะซื้อที่สนามบินตอนที่มาถึงวันแรกครับ โดยผมจะอยู่เที่ยวที่โตเกียวประมาณ 2 วันครับผม


เดียวผมจะเอากระเป๋าใบใหญ่ไปฝากไว้ที่โรงแรม Agora Place Asakusa ก่อนครับ จะได้ออกไปเที่ยวได้อย่างคล่องตัว ใครจะใช้ Tokyo Subway Pass แนะนำให้จองโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินนะครับจะได้สะดวก

โดยวิธีเดินทางไปที่ โรงแรม Agora Place Asakusa  ก็ตามรูปด้านบนเลยครับ นั่งสาย Toei Oedo line จาก E01 ไปลงที่ E09 จากนั้นก็ต่อสาย Ginza Line จาก G15 ไปลง G18 โดยโรงแรม Agora Place Asakusa จะอยู่ที่ สถานี Tawaramachi(G18) ครับ


โรงแรมจะอยู่ใกล้สถานีมากครับเดินมาแค่ 5 นาทีเท่านั้น ฝากกระเป๋าเสร็จก็ออกเที่ยวกันต่อเลยครับผม


โดยสถานที่แรกที่จะไปนั้นก็คือ วัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) หรือ วัดเซ็นโซจิ (SENSOJI) ครับ นั่งรถไฟใต้ดินไปแค่ป้ายเดียวจากโรงแรม

นั่งไปแค่สถานีเดียวเท่านั้นก็จะถึงวัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) ครับ จากนั้นให้ออกที่ทางออกหมายเลข 1


ออกมาแล้วก็ให้เดินตรงขึ้นไปครับก็จะเจอกับ วัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) อยู่ทางขวามือครับ


วัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) หรือ วัดเซ็นโซจิ (SENSOJI) นั้นเป็นสถานที่ติดอันดับที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่น ผมก็ไม่พลาดเหมือนกันเนื่องจากว่า ที่พัก Khaosan Tokyo Origami ของผมนั้นอยู่หลังวัดอาซากุสะนี่เอง เลยทำให้เดินผ่านอยู่หลายรอบรีวิวในตอนนี้เลยจะมีรูปทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืนมาผสมกัน

วัดเซนโซ (ญี่ปุ่น: Sens?-ji ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดอาซากุสะ เป็นวัดพุทธในย่านอะสะกุสะ เขตไทโต โตเกียว เป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว แรกเริ่มเคยเป็นวัดในสายเทนได ต่อมาได้แยกเป็นอิสระหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณติดกับวัดเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอาซากุสะ ซึ่งเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต


ใครชอบบรรยากาสเงียบๆ ไม่วุ่นวายแบบนี้ต้องมาเช้าๆครับ กรุ๊ฟทัวร์ยังไม่ลง สามารถถ่ายรูปได้ไม่ติดคนเท่าไหร่ครับ


หลังจากที่ออกจาก วัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) แล้วเดียวจะไปหาอะไรรองท้องกันก่อนครับ ถือเป็นมื้อเช้ามื้อแรกที่มาถึงโตเกียวครับ

ผมกินร้านเดิมที่เคยมาทานตอนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นรอบแรกครับ ที่เลือกเพราะว่าร้านอื่นๆนั้นยังไม่เปิดเลยครับ แต่ร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมง


วิธีการซื้อก็ดูเมนูหรือภาพอาหารจากหน้าร้านครับ จากนั้นจำเลขไว้ แล้วมากดที่ตู้ครับ


หน้าตาอาหารมื้อแแรกในโตเกียวของผมครับชุดนี้ 720 เยน อิ่มแล้วเดียวจะเดินข้ามไปดูตึกฟองเบียร์กันครับ


จากนั้นก็เดินมาถึงสะพานแดงแล้วครับ วันนี้ลมแรงมากๆ ใครมาเที่ยวแถวๆ ASAKUSA ก็จะต้องแวะมาถ่ายรูปกับตึกฟองเบียร์กันทุกคนครับ แต่บ้างคนก็มองว่าเป็นรูปก้อนอึทองคำนะครับ ฮ่าๆ


ถ่ายรูปเสร็จก็เดินกลับครับ เดียวจะนั่งรถไฟไปที่ โตเกียวสกายทรี TOKYO SKYTREE ครับ ซึ่งอยู่ในระแวกเดียวกัน

ให้นั่ง Asakusa Line จาก A18 ไปลงที่ A20 ให้ออกที่ทางออกหมายเลข B3 ขึ้นมาข้างบนแล้วก็ให้เดินไปทางขวามือครับ ก็จะมองเห็น โตเกียวสกายทรี TOKYO SKYTREE แล้วครับ


ผมถ่ายรูปเล่นจากด้านนอกเท่านั้นครับ เพราะว่าต้องซื้อตั๋วและต่อแถวซึ่งให้เวลาพอสมควร เลยเลือกที่จะไปเที่ยวต่อที่อื่นดีกว่า ไว้มีโอกาสค่อยมาขึ้นไปเที่ยวใหม่ครับ

เดียวจะไปเที่ยวต่อที่ศาลเจ้าเมจิครับ โดยจะต้องนั่งรถไป 2 ต่อครับ เริ่มจากสาย Hanzomon Line จาก Z14 ไปลงที่ Z08 ครับ จากนั้นต่อด้วยสาย Chiyoda Line จาก C11 ไปลงที่ C03 ครับ


เมื่อมาถึงสถานี  Meiji-jingumae <Harajuku>  ก็เดินตามทางออกเพื่อไปยังศาลเจ้าเมจิครับ ขึ้นมาด้านบนก็ถึงทางเข้าของศาลเจ้าเมจิแล้วครับ หาง่ายมากๆ

ศาลเจ้าเมจิ (ญี่ปุ่น: 明治神宮 Meiji Jingū) เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง
ตั้งอยู่ในเขตชิบุยะ กรุงโตเกียว พื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าดิบเขามีต้นไม้ที่ต่างสายพันธุ์เป็นร้อยๆชนิดและมีมากกว่าแสนต้น เสมือนป่ากลางเมืองโตเกียว


เดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะเจอกับถังสาเกจำนวนมากวางเรียงกันอย่างสวยงาม นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน


เดียวจะไปเดินเที่ยวต่อที่ ฮาราจูกุ (Harajuku) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้าเมจินี่เองครับ โดยให้เดินออกมาทางเดิมครับ


ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Dori) เป็นคนนคนเดินที่มีระยะทางเพียง 400 กว่าเมตร แต่เต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแฟชั่นแบบแปลกๆ เสื้อผ้าแบรนด์เนม สินค้ากิฟต์ช๊อป ตุ๊กตาน่ารักๆ


จากนนั้นก็ไปต่อที่ ย่าน Ueno ตลาดอะเมโยโกะ(Ameyoko) ครับหาอะไรทานก่อนค่อยไปเช็คอินที่โรงแรม


ใครที่ใช้ Tokyo Subway Pass ก็สามรถลงได้ทั้ง สาย Ginza Line หรือ Hibiya Line ก็ได้เช่นกันครับ ไปลงที่ สถานี Ueno


ที่ตลาดอะเมโยโกะ(Ameyoko Market) มีสินค้าหลากหลายชนิดทั้ง ของสด ของใช้ เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าทั้งของญี่ปุ่น และของนำเข้าที่ส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าในห้างบางร้านอาจจะต่อราคาเพิ่มได้อีก อาหารทะเล ผลไม้ ผักสด ร้านขนมของกินเล่น เช่น ทาโกะยากิยักษ์ โมจิ ขนมเค้ก ช็อคโกแลต ไอศครีม ชานมไข่มุก  และร้านอาหารญี่ปุ่น อย่างราเม็ง ซูชิ ข้าวหน้าปลาไหล พื้นที่ตลาดกินขนาดใหญ่กินพื้นที่ไปหลายซอย รวมถึงใต้ดิน ส่วนใหญ่จะเปิดร้านประมาณ 10 โมงเช้าไปจนถึงช่วงเย็นๆ และมักจะปิดทุกวันพุธ


เมื่อพูดถึงตลาดอะเมโยโกะ(Ameyoko)แล้ว หลายคนก็จะนึกถึงร้านข้าวหน้าปลาดิบและร้านทาโกะยากิซึ่งผมก็ไม่พลาดครับ เดียวไปแวะทานเป็นมื้อค่ำก่อนที่จะพาเดินช็อปปิ้งกันต่อครับ


วิธีการสั่งข้าวหน้าปลาดิบที่ตลาดอะเมโยโกะ(Ameyoko) ก็ง่ายๆครับ ผู้หญิงหมวกสีเขียวจะมาจด ออเดอร์ครับ ซึ่งเราสามารถชี้รูปให้เค้าดูได้เลย โดยแต่ละเมนูจะมี 2 ขนาดครับ จากเล็กและจานใหญ่


จานนี้เป็นจานใหญ่ครับ 750 เยนครับ จากนั้นก็เดินเล่นหาซื้อของฝากครับ จนร่างกายเริ่มเพลียเดียวผมจะกลับไปเช็คอินและพักผ่อนที่โรงแรม Agora Place Asakusa ครับ

สำหรับการเดินทางไปยัง โรงแรม Agora Place Asakusa นั้น ให้นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่ สถานี Tawaramachi(G18) สาย Ginza Line  ครับ โดยผมจองมาในราคา 2 คืน ราคา 5,819 บาทครับ ราคาค่อนข้างสูงเหมือนกันครับ เนื่องจากว่าเข้าพักคืนวันศุกร์และเสาร์ ถ้าวันธรรมดาราคาจะถูกลงกว่านี้ครับ

ใครสนใจก็ลองเช็คราคาได้ที่ >> traveloka ผม


บรรยากาศบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม Agora Place Asakusa ดูโปร่งๆ สวยสบายตาดีครับ การเช็คอินก็แจ้งชื่อที่เราจองไปกับพนักงานครับ ใช้พาสปอร์ตของผู้เข้าพัก จากนั้นก็จะได้คีย์การ์ดมาครับ เดียวขึ้นไปดูบนห้องกันครับ



เปิดประตูเข้ามาก็ตกใจนิดหน่อยครับ เพราะว่าห้องพักจะเล็กกว่าที่ Kanazawa เยอะเลยครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าโรงแรมในเมืองหลวงก็จะเป็นแบบนี้หมดครับ คือห้องจะค่อนข้างเล็ก


ห้องน้ำก็ขนาดมินิครับ เดินเที่ยวมานานๆก็เปิดน้ำอุ่นแช่เท้าในอ่างได้ครับ แต่จะให้นอนแช่ทั้งตัวก็คงลำบากครับ เพราะผมเองสูง 185 แช่ไม่พอครับ ฮ่าๆ

ชมรีวิว โรงแรม Agora Place Asakusa อย่างละเอียดพร้อมวิธีเดินทางได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Agora-Place-Asakusa.html

ก็เป็นอันว่าจบไปอีก 1 วันสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ครับเดียวไปชมกันต่อเลย


วันนี้ก็ยังคงเที่ยวอยู่ในโตเกียวครับผม

สำหรับโปรแกรมเที่ยววันนี้ผมจะออกเป็น 2 ช่วงครับ โดยครึ่งวันแรกจะพาไปเที่ยวที่ พระราชวังอิมพีเรียล(Imperial Palace) ครับ จากนั้นก็จะเดินไปที่สถานีโตเกียวเพื่อแวะซื้อ JR TOKYO Wide Pass ไว้ใช้ใน 3 วันสุดท้าย จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่ 5แยกชิบูย่า(Shibuya) และไป โอไดบะ(odaiba)


สำหรับข้อมูลคร่าวๆของ พระราชวังหลวงโตเกียว (ญี่ปุ่น: 皇居 โคเกียว , "พระราชมนเทียร") เป็นพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในแขวงชิโยะดะ กรุงโตเกียว ใกล้กับสถานีรถไฟโตเกียว ภายในพระราชวังประกอบด้วยพระราชมนเทียรพระตำหนัก (宮殿 คีวเด็ง) ของพระราชวงศ์ พิพิธภัณฑ์ในพระองค์, สำนักพระราชวัง, และพระราชอุทยานขนาดใหญ่ พระราชวังนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของปราสาทเอะโดะ

ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ แต่พระราชวังเดิมถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาในปี ค.ศ. 1964 ก็ได้รับการบูรณะ  ซึ่งตัวพระราชวังมีขนาดที่ดินทั้งหมด 3.41 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในภาวะฟองสบู่อสังหสริมทรัพย์ของญี่ปุ่นในทศวรรษที่ 1980 มูลค่าของพระราชวังโตเกียวนั้นมีมูลค่าสูงมากกว่ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกาเสียอีก


สะพานแว่นตา (Nijubashi Bridge)


หลังจากที่เดินเล่นถ่ายรูปเสร็จแล้ว ผมก็เดินต่อไปยังสถานีโตเกียวครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ จาก สะพานแว่นตา (Nijubashi Bridge)  ก็ให้เดินตรงออกมายังถนนเลยครับ


จะผ่านร้านค้า ร้านอาหาร และตึกสวยๆ เมื่อสุดทางก็ให้เลี้ยวซ้ายครับ ก็จะมองเห็นตัวสถานีโตเกียวครับ เป็นตึกสีส้มสวยงามเลยทีเดียว

เป้าหมายของผมที่สถานีโตเกียวก็คือจะมาซื้อ JR TOKYO Wide Pass และจองที่นั่งไว้เลยครับ โดยต้องไปซื้อที่ JR Ticket Office ครับ


JR TOKYO Wide Pass นั้นราคา 10,000 เยนครับ ใช้ได้ 3 วัน สำหรับเส้นทางรถไฟที่ใช้ได้นั้นสามารถดูได้ที่ http://www.jreast.co.jp/e/tokyowidepass/index.html ครับ ซึ่งผมทำการบ้านมาแล้ว ว่าจะขึ้นรถไฟขบวนไหนเวลาอะไรบ้าง จะได้ง่ายตอนที่เจ้าหน้าที่จะทำการจองที่นั่งให้เราครับ


ได้มาแล้วครับ JR TOKYO Wide Pass และตั๋วที่ทำการจองที่นั่งไว้

เมื่อได้พาสแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวต่อครับ โดยผมจะไปที่ 5แยกชิบูย่า(Shibuya) ครับ จากสถานีโตเกียวต้องนั่งรถไฟไปสองต่อครับ

จาก Tokyo (M17) ไปลงที่ Akasaka-mitsuke (M13) แล้วไปต่อสาย Ginza Line ไปลงที่สถานี Shibuya (G01) ครับ

สำหรับใครที่ได้มาเที่ยวญี่ปุ่นต้องหาโอกาศมาเดินข้ามถนนกันที่ 5 แยก ชิบูย่า (Shibuya) ซึ่งถือว่าเป็น Landmark อีกอย่างของกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาเลิกงานหรือช่วงวันหยุด แยกนี้จะมีคนข้ามถนน พร้อมๆกันเป็นพันๆคนเลยทีเดียว และที่ชิบูย่า (Shibuya) ก็ยังเป็นย่านชอปปิ้ง แหล่งรวมเสื้อผ้าแฟชั่น วัยรุ่น ร้านอาหาร อีกด้วย


และอีกสิ่งหนึ่งเลยที่มา ชิบูย่า (Shibuya) แล้วจะต้องแวะไปถ่ายรูปด้วยนั้นก็คือ รูปปั้นสุนัขยอดกตัญญู ฮะชิโก(Hachiko) สุนัขสายพันธุ์อะกิตะ

ที่สร้างเอาไว้เพื่อระลึกถึงความจงรักภักดีอันน่าทึ่งจากการที่มันเฝ้ารอเจ้านายของมันเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าเจ้านายของมันจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม บางคนก็ใช้ตรงนี้เป็นจุดนัดพบเพื่อนฝูงกันด้วย


ใครอยากได้รูปมุมสูงของ 5แยกชิบูย่า(Shibuya) แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายบนสะพานลอยครับ จะได้มุมที่สวยงามกว่าแต่ก็จะมีตะแกงรั่วมาบังครับ


สำหรับการเดินทางไปยัง โอไดบะ(odaiba) จะต้องนั่งรถไฟสาย Ginza Line ไปลงที่สถานี Shimbashi (G08) ครับ ใครมาจากทางอื่นก็สามารถมาเริ่มต้นที่ สถานี Shimbashi  ได้ครับ


หลังจากที่มาถึงสถานี Shimbashi (G08) แล้วก็ให้มองหาป้าย รถไฟสาย Yurikamome ครับ เดินตามป้าย Yurikamome ได้เลยครับ


อันดับแรกต้องซื้อตั๋วก่อนครับ ซึ่งสามารถซื้อเป็นเที่ยวๆ หรือซื้อเป็นวันเดย์พาสก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง และขึ้นลงกี่ครั้ง ซึ่งตัวผมเองนั้นเลือกซื้อแบบตั๋ววันครับ ราคา 820 เยน ไปครั้งแรกกลัวว่าจะหลง ขึ้นผิดขึ้นถูก ก็เลยซื้อกันเหนียวไว้ครับ

สถานีต่างๆของรถไฟสาย Yurikamome

U-01      ชิมบะชิ - Shimbashi
U-02      ชิโอะโดะเมะ -Shiodome
U-03      ทะเกะชิบะ -Takashiba
U-04      ฮิโนะเดะ -Hinode
U-05      ชิบะอุระ-ฟุโต-Shibaura-Futo
U-06      โอไดบะ-ไคฮิงโคเอ็ง-Odaiba Kaihinkoen
U-07      ไดบะ-Daiba
U-08      ฟุเนะ-โนะ-คะงะกุกัง-Fune-no-kagakukan
U-09      เทเลคอมเซ็นเตอร์-Telecom Center
U-10      อะโอะมิ-Aomi
U-11      โคะกุไซ-เท็นจิโจ-เซมง-Kokusai-tenjijo=seimon
U-12      อะริอะเกะ-Ariake
U-13      อะริอะเกะ-เทนนิส-โนะ-โมะริ - Ariake-tennis-no-mori
U-14      ชิโจ-มะเอะ-Shio-mae
U-15      ชิง-โทะโยะซุ-Shin-Toyosu
U-16      โทะโยะซุ-Toyosu

แต่สถานีที่นักท่องเที่ยวจะลงกันเยอะก็จะเป็น สถานีU-07 ไดบะ-Daiba และ สถานี U-10อะโอะมิ-Aomi ครับ


Yurikamome” รถไฟไม่มีคนขับสายแรกของโอไดบะ จะวิ่งผ่านสะพานสายรุ้ง Rainbow Bridge ซึ่งเชื่อมแผ่นดินโตเกียวกับเกาะโอไดบะไว้ด้วยกัน


ผมเลือกที่จะลงที่ป้าย U10 - Aomi ก่อนครับ

ป้าย U10 - Aomi   จะเจอ Palette Town คือ ศูนย์รวมสรรพสินค้า สถานบันเทิง Venus Fort, History Garage ในห้าง Venus Fort ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิค พิพิธภัณฑ์โตโยต้า และเป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ Ferris Wheel ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น


เดินเข้าก็จะเจอกับทางเข้า พิพิธภัณฑ์ โตโยต้า (Toyota Mega Web) คนชอบรถยนต์ไม่ควรพลาด มีรถตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงรถรุ่นใหม่ที่กำลังออกขาย


Toyota CHR ซึ่งกำลังจะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆนี้ด้วยครับ สวยงามมากๆ


ชิงช้าสวรรค์ Ferris Wheel

เดียวผมจะเดินต่อไปยัง ห้าง Diver City Tokyo Plaza ครับ เพื่อไปชมเจ้ากันดั้มยักษ์ (ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตัวใหม่และนะครับ ตัวนี้ไม่มีแล้ว)


Diver City Tokyo Plaza ได้รับการออกแบบให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของโตเกียวให้มีความหลากหลายและสร้างความตื่นตาตื่นใจในบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังอย่างโตเกียววอเตอร์ฟรอนท์ซิตี้ ภายใต้แนวคิด "เมืองแห่งโลกมายา" ที่นี่จะทำให้คุณได้ทั้งการช็อปปิ้ง ความบันเทิง และการพักผ่อนซึ่งจะทำให้คุณได้ตกตะลึงและมีแรงบันดาลใจ ศูนย์การค้าแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านเสื้อผ้านำเข้า แบรนด์เสื้อผ้าลำลองจากญี่ปุ่นและต่างประเทศ และยี่ห้อสินค้าที่ล้ำสมัยและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สถานที่ให้ความบันเทิงขนาดใหญ่จะให้คุณได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย ศูนย์อาหารที่มีร้านอาหารขึ้นชื่อของโตเกียว และชั้นที่เต็มไปด้วยร้านอาหารที่เย้ายวนประสาทสัมผัสทั้ง 5


ที่หน้าห้าง Diver City Tokyo Plazaมีหุ่นกันดั้มขนาดเท่าของจริง สูง 18 เมตรตั้งอยู่ รายละเอียดสมจริงทุกสัดส่วน ใครที่ชอบสะสมโมเดลลองส่องดูได้ครับ ทำมาเนี๊ยบมาก หุ่นกันดั้มสามารถปล่อยควัน เปิดไฟที่ตัว หันหัวไปมาได้ แต่จะมีเวลาโชว์อยู่


หลังจากถ่ายรูปกับเจ้ากันดั้มแล้ว ผมก็เดินกลับมาทางเดิมครับ เดียวจะไปชมรถเก่าๆสวยๆกัน


ให้เดินผ่านนี้ครับเพื่อเข้าไปสู่ History Garage ซึ่งจะอยู่ภายในห้าง Venus Fort ชั้น 1 จะจัดแสดงรถคลาสสิคหลากหลายยี่ห้อ พร้อมบรรยากาศแบบจำลองในยุคนั้น


ใครชอบรถเก่าๆ คงจะเพลินกับที่นี่เลยครับ


เดินเล่นจนถึงเวลาค่ำๆ ผมจะกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีเดิม ป้าย U10 - Aomi ครับ เพื่อจะไปต่อที่สถานี U07 ครับ ให้เดินทะลุห้างมาได้เลยครับ

สถานี Daiba U-07 จะมีสถานที่เที่ยว ได้แก่ DECKS Tokyo Beach ภายในมี Madame Tussauds Tolyo, Trick Art Musuem ต่อด้วยห้างสรรพสินค้า Aqua City Odaiba ที่รวมทั้งเครื่องเล่นและร้านอาหารอีกทั้งเป็นจุดชมวิวของเทพีเสรีภาพเคียงคู่สะพานสายรุ้ง Rainbow Bridge พร้อมมองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ได้ที่นี่


อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty)

วิวตรงนี้สวยสุดอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลองฉากหลังเป็นสะพานสายรุ้ง ช่วงเวลาที่สวยที่สุดจะเป็นช่วงเวลาเย็นเกือบมืดจะเห็นไฟที่สะพาน และบ้านเรือนฝั่งโตเกียวเป็นไฟระยิบระยับ



หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปหาอะไรทานแถวๆนั้น ก็ได้เวลากลับโรงแรมครับเดียวพรุ่งนี้จะต้องเดินทางออกนอกเมืองกันอีกแล้ว และเป็นวันแรกที่จะเปิดใช้ JR TOKYO Wide Pass ด้วยครับ

ชมรีวิวเที่ยวโอไดบะ(odaiba) 1 วัน พร้อมวิธีเดินทางอย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/odaiba.html


โปรแกรมวันนี้ผมจะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม Agora Place Asakusa แล้วไปยังสถานีโตเกียวเพื่อไปขึ้นรถไฟ SHINKANSEN ขบวน MaxTANIGAWA 73 ที่ได้ทำการจองที่นั่งมาแล้ว เพื่อไปยัง GALA Yuzawa ครับ


สำหรับการเดินทางไปเที่ยวยัง  GALA Yuzawa ของผมวันนี้นั้น ผมเลือกจะไปเช้าๆครับ เพราะช่วงบ่ายผมต้องไปเที่ยวต่อที่อื่น เลยเลือกไปขบวน  SHINKANSEN MaxTANIGAWA 73 ออกจาก TOKYO (06:44) ไปถึง GALA YUZAWA (07:59) ครับ โดยจะต้องไปขึ้นรถไฟที่ Track หมายเลข 20

สำหรับเวลารถไฟรอบอื่นๆ เพื่อนๆสามารถดูได้ที่ http://www.hyperdia.com/en/


ใกล้ๆถึงเวลาก็มาต่อแถวรอครับ สำหรับขบวน MaxTANIGAWA 73 จะเป็นรถไฟ 2 ชั้นครับ


มาแล้วครับ SHINKANSEN MaxTANIGAWA 73 ที่จะพาไปยัง GALA Yuzawa ครับ

รถไฟ SHINKANSEN จะได้เวลาวิ่งไปถึง  GALA YUZAWA ประมาณ 70 นาทีได้ครับ

สำหรับสถานี  GALA YUZAWA นั้น จะเปิดในช่วงหน้าหนาวหรือช่วงที่ลานสกีเปิดเท่านั้นครับ ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่จะมาเล่นสกีครับ ออกจากรถไฟเดินขึ้นไปก็ถึงเลยครับ


GALA YUZAWA คือสถานที่ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสนุกสนานได้ มีทางลาดที่หลากหลายและมีสถานที่เล่นสำหรับเด็กมากมาย เต็มไปด้วยวิธีที่จะสนุกสนานไปบนทางลาดมากมาย จนทำให้รู้สึกลังเลเลยล่ะว่าจะทำอะไรต่อไปดี

GALA YUZAWA ตั้งอยู่ที่เมืองเอจิโกะ ยูซาวะ จังหวัดนีงาตะ อยู่ห่างจากโตเกียวมาทางทิศเหนือประมาณ 200 km พื้นที่นี้มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่ที่มีหิมะตกลงมาปกคลุมมาก GALA YUZAWA เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับการลื่นไถลด้วยสกีจากความสูงตั้งแต่ 1,181 เมตร ไปจนถึง 358 เมตรได้ เป็นสกี รีสอร์ทที่เหมาะที่สุดในการเพลิดเพลินไปกับสภาพหิมะที่ยอดเยี่ยม

การเดินทางมายัง GALA YUZAWA เนี่ยง่ายมากๆ! ใช้เวลาเดินทางจากสถานีโตเกียว เร็วที่สุด 75 นาที GALA YUZAWA เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟชินคันเซ็นโดยตรง ลงจากรถไฟชินคันเซ็น จากนั้นรับตั๋วขึ้นลิฟต์กับอุปกรณ์เล่นสกี แค่นี้ก็เตรียมพร้อมออกเล่นได้ ! ไม่มีอะไรที่จะง่ายไปกว่านี้แล้ว จะตื่นนอนตอนเช้าที่โตเกียว แล้วมาอยู่บนทางลาดตอนเวลา 8 โมงก็สามารถทำได้

ข้อมูลจาก https://gala.co.jp/winter/thai/


สำหรับใครที่เดินทางมาด้วย JR TOKYO Wide Pass จะมีส่วนลดครับ มี 3 แบบให้เลือก ซึ่งผมจะเลือกแบบแรกครับ ราคา 2,000 เยน จะรวมค่าเช่า รองเท้า ถุงมือ กระดานเลื่อน และ กระเช้า Gondola สำหรับขึ้น- ลง ครับ


ขั้นตอนต่อไปก็ต้องมากรอกเอกสารสำหรับการเช่า รองเท้า ถุงมือ และกระดานเลื่อนครับ


ได้รองเท้ากับถุงมือมาแล้วครับ ส่วนถาดเลื่อนจะได้เป็นบัตรแบบนี้มาครับ ค่อยนำไปแลกที่ด้านบน


เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยครับ เดียวไปขึ้น กระเช้า Gondola เพื่อขึ้นไปยังลานสกีด้านบน


ขึ้นไปสูงมากครับ แต่จะมองไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไหร่ เพราะหิมะตกตลอดเวลา กระจกที่ตัวกระเช้าก็ขึ้นฝ้าด้วยครับ


ขึ้นมาถึงด้านบนก็เอาบัตรไปแลกกระดานเลื่อนครับ สำหรับใครที่เล่นสกีไม่เป็น ก็ต้องใช้กระดานเลื่อนแบบนี้ครับ เล่นง่ายมากแต่ก็สนุกเหมือนกันครับ


พร้อมแล้วออกไปพบกับความหนาวกันเลยครับ อากาศหนาวมากหิมะก็ตกตลอดเวลาครับ


สำหรับใครที่เล่นสกีต้องนั่งกระเช้าอีกต่อเพื่อขึ้นไปด้านบนครับ


แต่สำหรับมือใหม่ต้องมาทางนี้ครับ ทางเดินไปสำหรับเล่นกระดานเลื่อนหิมะ


หิมะบนนี้จะนุ่มมากครับ เดินแล้วนิ่มขามากๆ


เล่นไปเล่นมาเริ่มหิวครับ ที่ GALA Yuzawa ด้านบนนี้มีศูนย์อาหารด้วยนะครับ มีให้เลือกหลากหลายเมนู วิธีการสั่งก็คือ ดูรูปภาพครับว่าจะทานอะไร จากนั้นก็ดูรหัสตัวเลข ต้องไปกดสั่งเองที่ตู้


ได้มาแล้วครับข้าวแกงกระหรี่หมูพร้อมไข่ อาอาศหนาวๆกินอะไรก็อร่อยไปหมด ฮ่าๆ


กินข้าวเสร็จก็ได้เวลากลับแล้ว เดียวผมจะต้องไปที่ Takaragawa onsen ซึ่งเป็นที่พักในนี้คืนนี้ ลงมาถึงด้านล่างแล้วก็เอาอุปกรณ์ที่เช่ามาไปคืนครับ


จากนั้นผมก็เดินลงไปด้านล่างเพื่อไปรถ Shuttle Bus ครับ เดียวผมจะนั่งรถไปยังสถานี ECHIGO-YUZAWA ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ นั่งไปประมาณ 10-15 นาทีได้ครับ ซึ่งรถไฟที่ผมจะนั่งไปยัง JOMO-KOGEN ต้องมาขึ้นที่สถานีนี้ครับ


รถจะมาส่งที่สถานี ECHIGO-YUZAWA ครับ เดียวผมต้องต่อรถอีกที่ ECHIGO-YUZAWA เวลา 12:08 เพื่อไปยังสถานี JOMO-KOGEN ครับ

ชมรีวิวพาเที่ยวลานสกีที่ GALA Yuzawa พร้อมขั้นตอนซื้อตั๋วและวิธีเดินทางอย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/GALA-Yuzawa.html

ต่อจากนี้ผมจะเดินทางไปยังที่พักของผมในคืนนี้ครับนั่นก็คือ Takaragawa onsen เห็นในรูปสวยงามมากๆเลยต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองซะหน่อย


สำหรับการเดินทางไปที่ สถานี JOMO-KOGEN โดยรถไฟ SHINKANSEN  ใช้เวลาเพียง 13 นาทีเท่านั้นเองครับ นั่งแค่ป้ายเดียวเอง


นั่งแปปเดียวเองครับ 13 นาทีเท่านั้น


เมื่อใกล้ถึง 13.00 น. ก็ให้ไปรอที่หน้าสถานีครับ จะมีเจ้าหน้าที่ของ Takaragawa onsen มาเช็คชื่อคนที่จะขึ้นรถ สำหรับบริการรถรับ-ส่ง ของโรงแรม Takaragawa onsen นั้นจะต้องทำการจองล่วงหน้าก่อนนะครับ วิธีจองก็ให้อีเมล์ไปที่โรงแรมครับ ส่วนตัวผมนั้นให้ japanican จองให้ครับ เพราะว่าจองผ่านเค้า


รถที่มารับเป็นรถบัสคันใหญ่เลยครับ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้ว คนญี่ปุ่นก็นิยมมาพักผ่อนแช่ออนเซ็นกันที่ Takaragawa onsen ด้วยครับ


สำหรับการเดินทางจากสถานี JOMO-KOGEN ไปที่โรงแรม Takaragawa onsen นั้นจะใช้เวลาประมาณ 50 นาทีครับ ขับผ่านไปตามภูเขา วิวระหว่างทางก็สวยงามแล้วครับ


ใช้เวลา 50 นาที รถบัสก็มาส่งที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรม Takaragawa onsen เดียวขั้นตอนต่อไปก็คือไปเช็คอินเพื่อเข้าพักครับ

เข้ามาถึงทุกคนจะต้องถอดรองเท้าของตัวเองที่ใส่มาเพื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าของโรงแรมครับ เพื่อความเป็นระเบียบ


เมื่อกรอกเอกสารเสร็จแล้ว ก็มาเลือกชุดยูกาตะ (Yukata) ครับ ตลอดการเข้าพักจะต้องใส่ชุดนี้ครับ ก็สามารถเลือกสีเลือกลายกันตามความชอบเลยครับ


ได้ชุดยูกาตะ (Yukata) ถูกใจแล้วเดียวไปชมห้องพักกันครับ ของที่ผมจองมานั้นเป็นห้องแบบราคาถูกสุดครับ อยู่ชั้น 4 ตึกเดียวกับล็อบบี้ (ล็อบบี้จะอยู่ชั้น 3)

สำหรับทุกห้องของ Takaragawa onsen จะเป็นห้องพักสไตน์ญี่ปุ่นครับ และไม่มีห้องอาบน้ำในตัวนะครับ ต้องไปใช้ห้องอาบน้ำรวมบริเวณชั้น 1


ในห้องพักตอนกลางวันจะจัดเป็นที่นั่งเล่นมีโต๊ะกลางครับ ส่วนกลางคืนก็จะมีเจ้าหน้าที่มาปูที่นอนให้ มีทีวีแต่จะเป็นช่องญี่ปุ่นทั้งหมดนะครับ แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่ได้เปิดเลยสำหรับทีวี


ด้านหลังจะเป็นระเบียงสามารถมานั่งเล่นชมวิวได้ครับ และมีอ่างล้างหน้า ไดร์เป่าผม


สำหรับใครที่มายัง Takaragawa onsen ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดก็คือการออกไปแช่ออนเซ็นกลางแจ้ง ซึ่งมีอย่ 3 บ่อครับ

ออกมาก็จะเจอกับสะพานที่คนชอบมาถ่ายรูปกันครับ อากาศหนาวมากๆ


ห้องพักอีกตึกของที่นี่ครับ ใครพักห้องมุมตึกนี้วิวจะสวยมากๆ จะมองเห็นสะพาน


สำหรับบ่อออนเซ็นกลางแจ้งนั้น ตอนที่ผมเดินไปมีคนแช่กันอยู่เป็นจำนวนมาก เลยถ่ายรูปมาให้ชมกันไม่ได้ครับ จากรูปบนจะเห็นบ่อออนเซ็นอยู่ไกลๆครับ


หลังจากที่เดินเล่นถ่ายรูปและแช่ออนเซ็นแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารค่ำครับ ราคาห้องพักจะรวมอาหารค่ำและอาหารเช้าไปแล้วครับ โดยอาหารค่ำ ทางโรงแรมจะให้เราเลือกครับว่าจะลงมาทานกี่โมงมี 3 เวลา คือ 18.00 : 18.15 : 18.30 ครับ


สำหรับอาหารเช้านั้นก็ลงมาทานที่เดียวกับอาหารค่ำครับ เป็นแบบบุฟเฟ่มีอาหารหลากหลายทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตกครับ


รอบแรกผมตักมาทานแค่นี้ครับ สำหรับรอบต่อๆก็ไม่ได้ถ่ายรูปแล้วครับ ทานอย่างเดียวเลย ฮ่าๆ อาหารเช้ารสชาติดีเลยครับ หลากหลายด้วย

เมื่อทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาเตรียมตัวกลับแล้วครับ ขึ้นไปอาบน้ำเก็บของ โดยรถที่จะไปส่งที่สถานีรถไฟจะมีแค่รอบเดียวนะครับคือรอบ 9.30 น. ครับ


รถบัสคันเดิมมาจอดรออยู่แล้วครับ มีภาษาไทยด้วยครับ แต่อ่านแล้วดูแปลกๆสงสัยใช้โปรแกรมแปลภาษามา โดยรถจะไปส่งที่สถานี JOMO-KOGEN ครับ ออกจากโรงแรมเวลา 9.30 น.

ชมรีวิว Takaragawa onsen พร้อมวิธีเดินทางอย่างะเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Takaragawa-onsen.html

ก็เป็นอันจบไปอีกหนึ่งวันครับสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้ แต่ยังไม่จบครับ...ไปต่อกันเลย


มาถึงวันที่ 7 ของการเที่ยวญี่ปุ่นแล้วครับ วันนี้จะเป็นวันที่นั่งรถไฟเยอะมากๆ ประมาณ 4 ต่อได้ครับจาก สถานี JOMO-KOGEN ไปยังสถานี kawaguchiko เหนื่อยมากแต่ก็สนุกดีครับ โดยวันนี้ยังคงใช้ JR TOKYO Wide Pass อยู่ครับ

ด้านบนนี้ก็คือรถไฟทั้ง 4 ต่อที่ผมจะต้องนั่งไปยัง kawaguchiko ครับ ใครที่ใช้ JR TOKYO Wide Pass สามารถจองที่นั่งได้ล่วงหน้านะครับ ซึ่งผมได้จองไว้หมดแล้ว โดยสามารถไปเช็ครอบรถที่เราจะนั่งได้ที่ http://www.hyperdia.com/en/ ครับ


ต่อแรกต้องนั่ง SHINKANSEN MaxTANIGAWA 408 จากสถานี JOMO-KOGEN (10:43) ไปลงที่ OMIYA(SAITAMA) (11:34) ซึ่งได้ทำการจองที่นั่งมาแล้วครับ


ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็มาถึงที่ OMIYA(SAITAMA) ซึ่งเป็นการต่อรถที่มีเวลาน้อยมากครับประมาณ 6-7 นาที ใครมีกระเป๋าใบใหญ่หรือมีผู้สูงอายุอาจจะไม่ได้ทันได้ครับ


เดินๆวิ่งๆลงมาทันพอดีครับ รถไฟมาพอดี โดยจะต้องนั้งรถไฟ JR ไปประมาณ 30 นาทีครับ เป็นรถไฟธรรมดาครับ


เมื่อมาถึง Shinjuku ก็ต้องไปนั่งรถไฟขบวน LTD. EXP KAIJI 107 ซึ่งผมได้ทำการจองตั๋วไว้แล้วล่วงหน้าครับ


รถ LTD. EXP KAIJI 107 มาจอดรออยู่แล้วครับ เดินไปขึ้นตามหมายเลขตู้ได้เลย


บรรยากาศภายในรถไฟ LTD. EXP KAIJI 107 ครับ เบาะนั่งสบาย สามารถซื้ออะไรมาทานได้ด้วย ใช้เวลาประมาณ 60 นาทีครับ ก็จะมาถึงสถานี OTSUKI


เมื่อมาถึงที่สถานี OTSUKI ก็ให้มองหาป้าย FUJIKYU RAILWAY แล้วเดินตามเลยครับ เดียวจะต้องไปต่อรถไฟอีกขบวนนึง


นี่คือรถไฟขบวน Fujikyu Railway  for KAWAGUCHIKO ครับ เป็นรถไฟฟวานเย็น จอดทุกป้ายเลยครับ ฮ่าๆ


ถ้าใครจะไปลงที่ KAWAGUCHIKO ก็นั่งต่อไปครับ แต่ผมจะแวะลงที่สถานี FJ14 SHIMOYOSHIDA ก่อนครับเพราะเห็นว่าเวลายังเหลือ ซึ่งจะเดินไปเที่ยวที่เจดีย์แดง(Chureito Pagoda)ครับ


ทางไป เจดีย์แดง(Chureito Pagoda) จะมีป้ายบอกตลอดทางเลยครับ เดินไปตามป้ายรูปเจอดีย์ไปได้เลยครับ

ทางขึ้นค่อนข้างชันเลยครับ สูงมากครับผมว่าสูงกว่าดอยสุเทพอีกมั่งครับ เล่นเอาหอบเหมือนกัน


แต่วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจครับ มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย


วิวที่หลายๆคนมาถ่ายรูปกัน เจดีย์แดง(Chureito Pagoda)กับภูเขาไฟฟูจิ แต่วันนี้มีแค่เจดีย์ครับ เดียวผมจะมาแก้ตัวใหม่ในวันพรุ่งนี้ครับ พยากรณ์อากาศบอกว่าฟ้าจะใส


เมื่อผิดหวังกับฟูจิ ผมก็เดินกลับมาที่สถานี SHIMOYOSHIDA ครับ เดียวจะนั่งรถไฟไปที่สถานี KAWAGUCHIKO ครับ

เป็นวันที่อากาศไม่เป็นใจเอามากๆครับฟ้าครึม ฝนตก ฮ่าๆ สำหรับการเดินทางมา KAWAGUCHIKO ด้วย JR TOKYO Wide Pass นั้นก็ไม่ยุ่งยากอะไรครับ อาจจะให้เวลาเยอะไปหน่อย แต่ก็คุ้มครับเพราะว่าเราซื้อพาสมาใช้อยู่แล้ว ส่วนใครที่ไม่มี JR TOKYO Wide Pass ก็สามารถนั่งรถบัสมาได้เช่นกันครับ

ชมรีวิววิธีเดินทางไปเที่ยว kawaguchiko โดยใช้ JR TOKYO Wide Pass อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/kawaguchiko.html

เดียวผมจะไปเช็คอินที่ K's House Mt.Fuji ที่พักคืนนี้ครับเดียวนี้ไม่มีรถรับ-ส่งแล้ว ต้องนั่งรถไปเองครับ ผมเลือกวิธีนั่งแท็กซี่ไปครับ เนื่องจากว่าฝนตกหนาวมากๆ


เริ่มต้นที่หน้าสถานี kawaguchiko ครับ รอบนี้ไม่มีรถรับ-ส่งแล้วเลยต้องเดินทางไปเองครับ โดยสามารถไปที่ K's House Mt.Fuji หลายวิธีครับเช่น เดินไประยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร  นั่งรถเมล์ราคา 150 เยน และนั่งแท็กซี่ไป ซึ่งผมเลือกวิธีนั่งแท็กซี่ไปครับเนื่องจากว่าฝนตกและมีกระเป๋าด้วย

นั่งมาไม่นานครับ ประมาณ 5 นาทีได้ก็มาถึงที่ K's House Mt.Fuji ราคาค่ารถก็ตามมิตเตอร์เลยครับ 730 เยน


มาถึง K's House Mt.Fuji แล้วครับ เดียวเข้าไปเช็คกินกันครับ

สำหรับวิธีจอง K's House Mt.Fuji นั้นก็สามารถทำได้หลายวิธีครับไม่ว่าจะเป็น agoda ,booking.com ,hostelworld หรือจะจองตรงกับ เคส์เฮาส์ เมาท์ฟูจิ เลยก็ได้ ห้องพักก็จะมีหลายแบบเช่น ส่วนตัวผมจองผ่าน traveloka มาครับ



-ห้องพักรวมชายหญิง 6 เตียง
-ห้องพักรวมชายหญิง 9 เตียง
-ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมห้องน้ำรวม
-ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมห้องน้ำส่วนตัว

ห้องแต่ละแบบราคาก็จะต่างกันออกไปครับ

รอบนี้ผมจองห้องพักแบบห้องส่วนตัวครับ เป็นห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นราคา 2,400 บาท


ด้านหลังจะเป็นห้องครัวครับ สามารถทำอาหารได้ มีจาน ชาม กระทะ อุปกรณ์ทำครัวให้ครบครับ



อันนี้คือส่วนของห้องนั่งเล่นครับกว้างขว้างพอสมควรเลย


เดียวขึ้นไปดูห้องพักที่ชั้นบนกันต่อครับ ผมจองแบบ ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นห้องน้ำรวม มาครับ เปิดเข้ามาก็จะเป็นแบบนี้ครับ


ห้องที่ผมเข้าพักห้องนี้จะอยู่คนละฝั่งกับภูเขาไปฟูจิครับ เลยจะเป็นวิวตามรูป เดียวไปชมห้องน้ำรวมกันครับ


ห้องน้ำรวมจะมีทุกชั้นครับ เข้ามาก็จะเจออ่างล้างหน้า 2 อ่าง ไดร์เป่าผม

ส่วนห้องอาบน้ำก็จะเปิดเวลา บ่าย 3 ถึง 11 โมงครับ ก็คือตามเวลาเช็คอิน เช็คเอาท์นั่นเอง


ห้องอาบน้ำมี 2 ห้องครับ มีที่แขวนเสื้อผ้า และตะกร้าใส่ของอยู่ในห้องน้ำ แชมพู สบู่ ยาสระผม มีไว้ให้แล้วครับ


เนื่องจากว่าวันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ มองไม่เห็นฟูจิ ผมก็เลยพักผ่อนอยู่ในโรงแรมครับ เดียวพรุ่งนี้ค่อยออกไปเที่ยวต่อ

ชมรีวิว โรงแรม  K's House Mt.Fuji อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/kawaguchiko-hotel.html


มาถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้แล้วครับ วันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความโชคดีท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้มองเห็นภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจน โปรแกรมวันนี้ผมจะชิลๆครับ ตื่นเช้ามาเช่าจักรยานของโรงแรมขับเที่ยวเล่นรอบๆทะเลสาบ แล้วค่อยกลับเข้าโตเกียวครับ


อันดับแรกก็ต้องมาเช่ารถกันก่อนครับ สำหรับใครที่ไม่ได้พักที่นี่ ก็สามารถเช่าได้ตามร้านทั่วไปครับ แถวๆสถานี kawaguchiko ก็มีนะครับ แต่สำหรับผมที่พักที่ K's House Mt.Fuji ก็เลยเช่าของที่นี่เลยครับ

โดยราคาเช่าจักรยานจะคิด 150 เยน ต่อ 1 ชั่วโมงครับ หรือจะเช่าทั้งวันก็เหมาไปในราคา 1,000 เยนครับ เท่าที่ผมได้ลองขับรอบๆทะเลสาป kawaguchiko แบบเรื่อยๆไม่รีบ แวะถ่ายรูปตลอดทาง ผมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ


ได้รถมาแล้วก็ได้เวลาออกไปขี่จักรยานให้ลมหนาวตีหน้าแล้วครับ โดยเส้นทางที่ผมจะขี่ไปก็คือบริเวณรอบๆทะเลสาป kawaguchiko ครับ โดยจะขี่ไปตามเส้นทางเป็นวงกลม เริ่มจากสะพานข้ามทะเลสาปและไปกลับอีกฝั่งนึงครับ


วันนี้อากาศดีมากครับ ฟ้าใส ทำให้เห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน


เดียวจะข้ามสะพานไปอีกฝั่งของทะเลสาปครับ ตรงนี้ถ้าใครขี่ไม่ไหวก็เข็นเอาก็ได้ครับ


เต็มตามากๆครับ สำหรับภูเขาไฟฟูจิวันนี้

ภูเขาฟุจิ (ญี่ปุ่น: 富士山 Fuji-san ฟุจิซัง ?) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซุโอะกะและจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว(東京都) พื้นที่โดยรอบ ประกอบด้วยทะเลสาบฟูจิทั้งห้า อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุและน้ำตกชิระอิโตะ โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ

ภูเขาฟุจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟุจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า "ฟุจิยะมะ" เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) สามารถอ่านได้สองแบบทั้ง "ยะมะ" และ "ซัง"


ตรงนี้จะมีต้นซากุระด้วยครับ ถ้ามาตอนที่บานเต็มต้นคงจะสวยน่าดูเลย แต่ตอนนี้ยังมีแต่กิ้งแห้งๆอยู่


ผ่านทางขึ้นกระเช้าลอยฟ้า Mt.Kachi Kachi Ropeway ผมมาที่นี่ 2 ครั้งแล้วยังไม่มีโอกาสขึ้นไปข้างบนเลยครับ เดียวต้องหาเรื่องมาอีกครั้งให้ได้


ขี่จักรยานมาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็วนมาถึงแถวๆที่พักแล้วครับ เดียวจะเอารถจักรยานไปคืนที่โรงแรมครับ


หลังจากที่คืนรถแล้วก็ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ครับ แล้วก็จะไปขึ้นรถไฟที่สถานี kawaguchiko โดยต้องนั่งรถเมล์ไปเองครับ

ค่ารถจากป้ายเบอร์ 4 ไปที่สถานี kawaguchiko ราคา 150 เยนครับ สามารถจ่ายได้บนรถกับคนขับได้เลย

ชมรีวิวขี่จักรยานชมภูเขาไฟฟูจิ รอบๆทะเลสาป kawaguchiko อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/kawaguchiko-bicycles.html


มาถึงสถานี kawaguchiko แล้วครับ วันนี้อากาศดีจริงๆ ทำให้ผมต้องเพิ่มแผนเที่ยวเจดีย์แดง ที่แวะตอนขามาแล้วมองไม่เห็นฟูจิ เดียวผมจะแวะไปอีกรอบก่อนกลับครับ


หลังจากเช็คเวลารถไฟแล้วก้เดินเข้าไปในสถานีเลยครับ โชว์บัตร JR TOKYO Wide Pass แล้วเดินไปขึ้นรถไฟได้เลย รอบนี้เป็นรถธรรมดาไม่ต้องจ่ายเพิ่มครับ


บรรยากาศภายในรถไฟ Fujikyu Railway ตกแต่งได้น่ารักดีครับ


สำหรับการเดินทางที่เจดีย์แดงนั้นก็ง่ายๆครับ ให้นั่งรถไฟ Fujikyu Railway มาลงที่สถานี FJ14 SHIMOYOSHIDA ครับจากนั้นก็เดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาที


ทางขึ้นค่อนข้างจะสูงเหมือนกันครับ ใครที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอาจจะเหนื่อยหอบกันได้ครับ ต้องค่อยๆเดินขึ้นมา


ยิ่งขึ้นมาสูงมุมมองก็จะสวยงามขึ้นไปเรื่อยๆครับ


เจดีย์แดง(Chureito Pagoda) เป็นเจดีย์ห้าชั้นบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองฟูจิโยชิดะ(Fujiyoshida City) และภูเขาไฟฟูจิในระยะไกลได้อย่างชัดเจนและงดงาม เจดีย์นี้ตั้งอยู่บนศาลเจ้าอาราคุระเซนเกน(Arakura Sengen Shrine) ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสันติภาพปี 1963 ซึ่งจากตัวอาคารหลักของศาลเจ้าต้องขึ้นบันไดไปเกือบ 400 ขั้น


ขึ้นมาแล้วหายเหนื่อยเลยครับ วิวสวยมากๆเจดีย์สีแดงตัดกับภูเขาไฟฟูจิ ถ้าใครมาช่วงซากุระน่าจะยิ่งสวยงากกว่าอีกครับ


เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดเลยต้องรีบถ่ายรูปแล้วรีบกลับไปที่สถานี SHIMOYOSHIDA เดียวจะไม่ทันรถไปรอบต่อไป


เดียวจะนั่งไปลงที่สถานี OTSUKI ครับ


เมื่อมาถึงสถานี OTSUKI ถ้าใครจองตั๋ว LTD. EXP KAIJI แบบระบุที่นั่งมาแล้วหรือจะขึ้นตู้ไม่ระบุที่นั่ง ก็สามารถเดินไปทางป้าย Transfer To JR Line ได้เลยครับ ส่วนตัวผมเองนั้นจองมาแล้วครับ

สำหรับขบวน LTD. EXP KAIJI ที่จะไปยังสถานี Shinjuku นั่นจะมีทั้งแบบจองและไม่จองที่นั่งนะครับ สามารถใช้ TOKYO Wide Pass ได้เลย


มาแล้วรถไฟ LTD. EXP KAIJI คนไม่เยอะเท่าไหร่ครับ เดียวผมจะไปลงที่สถานี Shinjuku ครับ

ชมรีวิวพาชมเจดีย์แดง(Chureito Pagoda) อย่างละเอียดได้ที่ >> http://www.mu-ku-ra.com/2017/03/Chureito-Pagoda.html


มาถึงสถานี Shinjuku ผมยังมีเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงครับ ก่อนที่จะต้องไปสนามบิน ก็เลยออกมาเดินเล่น แถววนี้มีร้านค้าเยอะครับ สามารถแวะซื้อฝากหรือแวะช็ปปิ้งก่อนกลับสนามบินได้




เมื่อเดินช็อปปิ้งเสร็จแล้วก็ได้เวลากลับไปที่สนามบินนาริตะแล้วครับ โดยผมได้ทำการจอง Nex ไว้แล้ว แต่ดันไปจองต้นทางเป็นสถานีโตเกียวครับ เลยต้องนั่งรถจากชิจูกุไปสถานีโตเกียวก่อน


โดยผมจะนั่งขบวน LTD. EXP NARITA EXPRESS 53 ซึ่งเป็นขบวนสุดท้ายของวันครับ ออกจากสถานี TOKYO (20:03) ถึง NARITA AIRPORT (21:10)


สำหรับขบวน LTD. EXP NARITA EXPRESS จะเป็นแบบจองที่นั่งทั้งหมดครับ ใครที่ใช้ JR TOKYO Wide Pass ก็ต้องไปจองตั๋วก่อนถึงจะขึ้นได้ครับ


นั่งมาประมาณ 1 ชั่วโมงรถไฟก็จะมาจอดที่ NARITA AIRPORT TERMINAL 2 ครับ


จากนั้นก็ถึงเวลาเดินกลับเมืองไทยครับ

เป็นอันจบทริปเที่ยวญี่ปุ่น 8 วันอย่างสมบูรณ์ ใครที่กำลังวางแผนเที่ยวอยู่ ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ครับ บางที่อาจจะไม่ต้องไปเหมือน หรืออาจจะชอบไม่เหมือนเลือกดูเอาครับ

เดียวทริปหน้าผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่นรอบใหม่ รอบนี้จะขึ้นเหนือไปเกาะฮอกไกโดยังไงก็ติดตามชมรีวิวกันได้อีกนะครับผม

สวัสดีครับ...
Advertisements

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น