รีวิวเที่ยวกระบี่หน้าฝน
สวัสดีครับผม...วันนี้ www.mu-ku-ra.com โดยผม(โด้) จะพาไปเที่ยวกระบี่กันครับ บางคนอาจจะแปลกใจว่า หน้าฝนแบบนี้สามารถไปเที่ยวทะเลได้เหรอ ผมก็บอกตามตรงว่ามันสามารถไปเที่ยวได้ครับ ค่าใช้จ่ายถูกด้วยไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก ค่าทัวร์ไปเกาะต่างๆ หรือแม้แต่ค่าตั๋วเครื่องบินก็จะออกโปรโมชั่นลดราคากันในช่วงนี้ด้วยครับ
แต่....จะเจอสภาพอากาศแบบไหน ฝนตกหนัก ฟ้าปิด ทะเลจะเปิดมั้ย อันนี้ก็บอกตามตรงว่าขึ้นอยู่กับดวงด้วยครับ เพื่อนๆอาจจะเช็คสภาพอากาศล่วงหน้าเป็นแนวทางได้ครับ เพื่อความชัวร์
ทริปเที่ยวกระบี่ของผมออกเดินทางวันที่ 6 - 8 สิงหาคม ที่ผ่านมาครับ โดยผมจะมีเวลาเที่ยว 3 วัน 2 คืน ส่วนโปรแกรมเที่ยวผมก็เตรียมไว้คร่าวๆครับ ว่าจะไปไหนบ้าง แล้วค่อยมาดูเมื่อมาถึงอีกครั้งครับว่าจะไปไหนก่อนหรือหลัง
พร้อมแล้วออกไปเที่ยวกระบี่กันเลยครับผม
ออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย FD 3229 สนามบินดอนเมือง (DMK) เวลา 8.55 น.ครับ ผมจองตั๋วโดยใช้แต็มบิ๊กการ์ดที่สะสมไว้ ทำให้จองตั๋วไป-กลับ ในราคาเพียง 700 กว่าบาทเท่านั้นเอง
ใครที่ไม่ได้โหลดกระเป๋าแบบผม แนะนำว่าให้เช็คอินออนไลน์มาแล้วมาพิมพ์ตั๋วที่เครื่องจะสะดวกมากๆครับ ไม่ต้องไปรอต่อแถวที่เคาน์เตอร์ ซึ่งตอนเช้าๆแถวจะยาวมาก
ได้ตั๋วมาแล้วก็ไปขึ้นเครื่องกันครับผม
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติกระบี่ครับ มาถึงตรงตามเวลา
เมื่อเดินมาทางมาถึงสนามบินกระบี่แล้ว ออกมาด้านนอกก็จะเจอกับเคาน์เตอร์รถ shuttle bus บริการครับ ใครจะเดินทางเข้าตัวเมืองกระบี่หรือจะไปอ่าวนางก็สามารถมาขึ้นรถตรงนี้ได้ครับ
- ค่ารถเข้าตัวเมืองกระบี่ 90 บาท
- ค่ารถไปอ่าวนาง 150 บาท
** ถ้าใครอยากประหยัดเงินสามารถเดินไปขึ้นสองแถวสีฟ้าที่หน้าสนามบินเข้าเมืองได้ครับราคา 30 บาท (แต่ผมว่านั่ง รถ shuttle bus ดีกว่าครับแอร์เย็นๆ)
แต่ทริปเที่ยวกระบี่รอบนี้ผมเลือกวิธีเช่ารถขับเองครับ เพื่อความสะดวกไปยังสถานที่ต่างๆที่รถสองแถวไปไม่ถึง ใครมาประมาณ 3-4 คนผมแนะนำว่าเช่ารถขับเองก็ดีนะครับราคาวันละ 600 - 800 บาทหารกันเหลือพอๆกับค่าสองแถวเลย
สำหรับเคาน์เตอร์รถเช่าที่สนามบินกระบี่ ต้องเดินมาที่ Terminal 1 นะครับ เครื่องแอร์เอเชียที่เราลงจะไปจอดที่ Terminal 2 ก็เดินมาไม่ไกลครับมีทางเชื่อมระหว่าง Terminal ให้เดินอยู่แล้ว
ผมใช้บริการของ THAI RENT A CAR ครับ โดยจองมาแล้วจากเว็บไซด์ สำหรับขั้นตอนการจองรถเช่าก็ไม่ยากครับ
- ทำการจองรถล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์หรือคอลเซ็นเตอร์
- ขอรับอีเมล์ตอบรับหรืออีเมล์คอนเฟิร์ม
- เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินต้องใช้เอกสารดังนี้
ใบขับขี่
บัตรเคดิต (ใช้ประกันวงเงิน)
บัตรประชาชน
จากนั้นก็ออกไปรับรถครับ โดยผมจองรถขนาดเล็กได้ mitsubishi mirage ขนาดกำลังดีครับ
ผมเช่ารถไว้ 2 วันครับ ในราคาวันละ 800 บาทรวมประกันชั้น 1 แล้ว ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็จะไม่เสียค่าใช้จ่าย ตอนรับรถน้ำมันเต็มถัง ตอนเอารถมาคืนเราก็ต้องเติมน้ำมันคืนเต็มถังด้วยนะครับ และสามารถคืนรถได้ช้าสุด 4 ชั่วโมง
หลังจากที่รับรถเสร็จแล้วก็ถึงเวลาออกเที่ยวกระบี่แล้วครับ โชคดีฝนไม่ตกเลย โดยจุดหมายแรกผมจะไปแวะเที่ยวที่วัดถ้ำเสือครับ จากสนามบินกระบี่ไปไม่ไกลครับ ประมาณ 9 กิโลเมตรเท่านั้น
ขับรถมาไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึงวัดถ้ำเสือครับ ทางเข้าจะมีรูปปั้นเสือตัวใหญ่ 2 ตัวอยู่ด้านหน้า
ใครที่ยังไม่ได้ทานอะไรรองท้องมา ที่บริเวณด้านหน้าของวัดจะมีร้านข้าวแกงใต้ขายครับ ราคาไม่แพงรสชาติจัดจ้านตามสไตร์อาหารใต้
"วัดถ้ำเสือ" ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่มาไม่ไกลนัก ราวๆ 5-6 กิโลเมตร ชื่อวัดนั้นมีข้อสันนิษฐานว่าเนื่องจากในอดีตเคยมีเสืออาศัยอยู่ และภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติ เป็นรูปแบบของอุ้งเท้าเสือ ส่วนที่มาของวัดนี้น่าจะมาจากพระธุดงค์ที่เดินทางจาริกไปเพื่อหาสถานที่วิเวกในการปฏิบัติธรรม มาอาศัยอยู่ตามถ้ำ และมีชาวบ้านที่ศรัทธาตามมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นวัด(วัดถ้ำเสือ)ในเวลาต่อมา
วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งความโดดเด่นของวัดและชื่อเสียงของ "หลวงพ่อจำเนียร" เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาช้านาน สภาพโดยทั่วไปของวัดถ้ำเสือมีลักษณะ เป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผาและแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำพระ เป็นต้น ถ้ำบางแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณวัดยังสามารถใช้เป็นศูนย์กลางการนั่งฌานของพระภิกษุและเหล่าอุบาสก อุบาสิกาได้อีกด้วย
จากนั้นให้เดินเข้าไปด้านในของวัดครับ จะเป็นทางขึ้นไปยังพระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ที่อยู่บนเขา จำนวนของขั้นบันไดที่เราจะเดินขึ้นไปครับทั้งหมด 1,237 ขั้น ผมแนะนำว่าให้ซื้อน้ำขึ้นไปทานระหว่างทางด้วยครับ เพราะว่ามันเหนื่อยจริงๆกว่าจะถึงด้านบน
ทางขึ้นก็ไม่ยากครับ จะมีทางที่ชันเป็นบางช่วง เดินขึ้นไปตามทางก็จะพบกับวิวสวยของจังหวัดกระบี่ครับ มันสดชื่นจริงๆ
ตรงนี้จะเกือบถึงแล้ว จะเห็นได้ว่าเราเดินขึ้นมาสูงมากๆ ตอนแรกผมคิดว่าจะสูงประมาณดอยสุเทพ แต่บอกเลยว่าสูงและไกลกว่ามากครับ
และแล้วผมก็เดินมาจนถึงจุดบนสุดครับ แทบจะหมดแรงขาแข้งอ่อน ด้านบนจะมีน้ำให้ทานนะครับ เปิดก๊อกทานได้เลย แต่จะไม่มีร้านค้าอะไรเลยนะครับ ถ้าใครไม่ได้ซื้อมาจากด้านล่าง ก็ต้องเปิดน้ำจากก๊อกนี้ทานเท่านั้น
พอขึ้นมาก็หายเหนื่อยครับ วัดถ้ำเสือ กระบี่ จากจุดชมวิวบนสุด สามารถชมวิวได้ 360 องศาเลย
วิวข้างบนมันสวยจริงๆครับ ใครมาเที่ยวกระบี่ ผมว่าไม่ควรพลาดเลยครับ
สามาชมรีวิวพาเที่ยวัดถ้ำเสือ อย่างละเลียดได้ที่ http://www.mu-ku-ra.com/2017/08/Wat-Thum-Sua-Krabi.html ครับ
หลังจากออกจากวัดถ้ำเสือและดูเวลาแล้วยังบ่ายๆอยู่ ผมเลยจะเที่ยวที่ ท่าปอมคลองสองน้ําต่อครับเช่ารถขับเองอยู่แล้วสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามใจเลย
ระยะทางจากวัดถ้ำเสือไปยังท่าปอมคลองสองน้ำประมาณ 27 กิโลเมตรครับ ใช้เวลาครึ่งชัวโมงเท่านั้น
การเดินทางไปยังท่าปอมคลองสองน้ํา ผมก็ใช้เจ้ากูเกิ้ลแมพนี่หละครับ ง่ายดีกดปลายทางจากนั้นก็กดเริ่ม มันก็จะนำทางเราไปยังจุดหมาย ระยะทางจากวัดถ้ำเสือ 27 กิโลเมตร ขับไปเรื่อยๆ เส้นทางก็ไม่ยากอะไรเป็นถนนราดยางปกติ
เมื่อใกล้จะถึงท่าปอมคลองสองน้ํา ก็จะมีป้ายขนาดใหญ่บอกตลอดทางครับ ไม่หลงแน่นอน
ที่จอดรถก็จะเป็นสวนปาล์ม ถ้ามาวันธรรมดาแบบผม ก็เลือกจอดใต้ร่มไม้ได้ตามใจชอบ คนไม่เยอะเท่าไหร่ จอดอยู่คันเดียวเลย เที่ยววันธรรมดามันก็ได้ดีแบบนี้ครับ ฮ่าๆ (เสียค่าจอดรถ 20 บาทนะครับ)
ต้องซื้อตั๋วก่อนครับ คนไทยราคา 20 เท่านั้นถูกมากๆ
เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอกับส่วนนี้ครับ จะเป็นพื้นที่ ที่สามารถลงเล่นน้ำได้ (เล่นได้แค่ตรงนี้นะครับข้างในห้ามเล่น) จะเห็นว่าน้ำตรงนี้สียังไม่สวยนั้นก็คือเป็นส่วนที่ใกล้จะลงทะเลจะคนละสีกับด้านใน
มีทางเดินไว้ให้เดินสะดวกมากครับ ถ้าใครเหนื่อยหรืออยากหลบแดดหลบฝน ก็จะมีศาลาแบบนี้อยู่เป็นระยะๆครับ
ท่าปอมคลองสองน้ําตั้งอยู่ที่บ้านหนองจิก หมู่ที่ 2 ตำบลเขาคราม ห่างจากตัวเมืองกระบี่ 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนหลวงหมายเลข 4(กระบี่-อ่าวลึก) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 126 เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตร ป่าพรุท่าปอมเป็นป่าที่มีแหล่งน้ำสวยงามหลายแห่ง มีต้นกำเนิดจากแอ่งน้ำช่องพระแก้ว ซึ่งเป็นน้ำจืดใสสะอาดจนมองเห็นพื้นน้ำและรากไม้ป่าหลุมพี ไหลเอื่อยมาบรรจบกับป่าโกงกางสู่ทะเลซึ่งเป็นน้ำเค็ม จึงได้ชื่อว่าคลองสองน้ำ ภายในมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ ทำด้วยไม้ระแนง บางช่วงมีเก้าอี้ไม้ให้นักนิยมไพรผู้รักธรรมชาติได้นั่งพักชมทัศนียภาพสอง ข้างทาง ค่าธรรมเนียมสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท
ยิ่งเดินเข้ามาลึกขึ้น สีน้ำก็จะเริ่มเป็นเป็นสีฟ้าๆแล้วครับ นี่ขนาดหน้าฝนนะเนี้ย ถ้ามาหน้าหนาวน้ำจะใสกว่านี้มากครับ
น้ำในคลองที่ค่อนข้างใส อมเขียวอมฟ้า ซึ่งเป็นน้ำจากน้ำผุดเป็นน้ำจืด สาเหตุที่น้ำใสเป็นเพราะว่า น้ำผุดมีต้นกำเนิดจากเขาหินปูนที่มีสารแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับกับตะกอน และสารแขวนลอยให้ตกตะกอนลงสู่ด้านล่าง ถึงแม้ว่าน้ำจะใสมากแต่ก็ไม่สามารถดื่ม กินได้ เนื่องจากมีปริมาณสารหินปูนอยู่ในน้ำสูง
เดินมาจนสุดทางก็จะเจอกับปลายน้ำที่จะไหลลงสู่ทะเลครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในการเดินเล่นถ่ายรูปที่ท่าปอมคลองสองน้ําแห่งนี้ครับ
สามารถชมรีวิวท่าปอมคลองสองน้ำอย่างละเอียดได้ที่ http://www.mu-ku-ra.com/2017/08/krabi-tapom.html ครับผม
หลังจากนี้ผมก็จะขับรถต่อไปยังอ่าวนางครับ เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม Ibis Styles Krabi Ao Nang แต่เดียวผมจะแวะไปทานอาหารที่ร้านวังทรายซีฟู๊ดก่อนครับ เห็นว่าเป็นร้านดังของอ่าวนาง
ระยะทางจากท่าปอมคลองสองน้ำมายังร้านวังทรายซีฟู๊ดก็ประมาณ 30 กว่ากิโลครับ ถนนบางช่วงกำลังซ่อมแซมด้วย เลยใช้ความเร็วมากไม่ได้ ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทางมาถึงร้าน
สำหรับร้านวังทรายซีฟู้ดตั้งอยู่ที่ : 98 ซอย เหมทานนท์ 3 ตำบล ปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ กระบี่ 81000 แต่เชื่อว่าใครที่พักแถวๆนั้นก็คงจะต้องผ่านร้านนี้ เพราะว่ารถสองแถวหรือรถจากสนามบินจะต้องขับผ่านร้านนี้
วันที่ผมมาทานเวลาประมาณ 4-5 โมงครับ คนไม่เยอะเท่าไหร่ ที่จอดรถก็ว่างเยอะครับ ดูคร่าวๆแล้วสามารถรองรับรถได้ถึง 20-30 คันได้นะครับ
ร้านวังทรายซีฟู้ด จะติดกับทะเลเลยนะครับ ใครที่จะไปเที่ยวไร่เลย์ด้วยเรือไม้ก็จะต้องมาขึ้นแถวๆนี้ (เฉพาะหน้าฝน) เข้ามาในร้านแล้วก็เลือกโต๊ะได้ตามสะดวกเลยครับ
หลังจากที่เปิดเมนูมาดูแล้วผมก็สั่งไปทั้งหมด 5 อย่างครับ
- หอยชักตีน
- ส้มตำปูม้า
- ปูม้านึ่ง
- กุ้งแชบ๋วยเผา
- ปลากระพง 3 รส
ลืมสั่งเมนูยอดนิยมแกงส้มปลากระพง แฮ่ๆ
เมนูแรกหอยชักตีนครับ เมนูที่ใครมาเที่ยวกระบี่ต้องลองทานดู ตัวผมเองก็เพิ่งจะเคยทานเป็นครั้งแรกครับ จานนี้ 200 บาท มีไม้จิ้มฟันมาให้ด้วยเป็นอุปกรณ์ไว้สำหรับแคะหอยออกมาจากเปลือกครับ ตัวหอยจะกรุปๆครับ
เมนูต่อมาส้มตำปูม้าครับรสชาติก็ปกติทั่วไป ใส่ปูม้ามาชิ้นใหญ่ดีครับจานนี้ราคา 200 บาท ราคาแอบแพงเหมือนกันครับสำหรับเมนูส้มตำ
จานต่อไปเป็นปลากระพงสามรสครับจานนี้ราคา 540 บาท (ราคาแอบแรง)รสชาติจะออกหวานครับ ปลากระพงทอดมากรอบๆแล้วราดด้วยน้ำซอส มีสับปะรด หอมใหญ่ พริกหวาน
จานต่อไปเป็นกุ้งเผาครับ ที่ร้านวังทรายซีฟู้ดจะมีกุ้ง 2 แบบ คือกุ้งลายเสือและกุ้งแชบ๊วย ผมสั่งกุ้งแชบ๊วยเผาแบบเป็นจานมาครับ ราคา 300 บาท
ขนาดของกุ้งก็โอเคครับ ใหญ่บ้างเล็กบ้างปนกันไป บางตัวก็แกะง่ายเปลือกไม่ติดกับเนื้อกุ้ง แต่บางตัวก็แกะยากเพราะว่าเปลือกมันติดกับเนื้อกุ้ง น่าจะอยู่ที่ความสดของกุ้งแต่ละตัวไม่เท่ากันครับ
สำหรับรสชาติของอาหารก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละท่านครับ บางคนว่าอร่อยบางคนอาจจะว่าไม่อร่อยก็ได้ แต่สำหรับผมก็ถือว่าโอเคครับ (ผมเป็นคนทานง่าย) ยังไงเพื่อนๆที่มาเที่ยวกระบี่ ก็ลองมาชิมกันครับผม
ชมรีวิวร้านวังทรายซีฟู้ดอย่างละเอียดได้ที่ http://www.mu-ku-ra.com/2017/08/wangsai-seafood.html ครับ จะมีรูปภาพเมนูต่างๆลงไว้ครับ
เที่ยวเหนื่อยๆมาทั้งวันก็ถึงเวลาเข้าที่พักแล้วครับ โดยผมซื้อวอยเชอร์ของ Ibis Styles Krabi Ao Nang มาครับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านวังทรายครับ
จากร้านวังทรายซีฟู้ดไปโรงแรม Ibis Styles Krabi Ao Nang ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรครับ ใครไม่ได้เช่ารถก็สามารถนั่งสองแถวได้ครับ
ตัวโรงแรมจะอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดอ่าวนางครับ ข้ามถนนมาก็จะเจอกับทางเข้าโรงแรมแล้วครับ หาง่ายอยู่ติดถนนใหญ่เลย ตัวโรงแรม Ibis Styles Krabi Ao Nang ก็จะออกแบบคล้ายๆกับโรงแรมไอบิสหลายๆที่ ตัวตึกไม่สูงมาก แต่สาขานี้จะตกแต่งเป็นธีมสีเขียวสบายตา
บริเวณล๊อบบี้ก็ตกแต่งแบบโมเดิร์นโปร่งสบายตาครับ
มาเช็คอินกับเจ้าหน้าที่ครับ ส่งวอยเชอร์ที่ซื้อมา(900บาท) พร้อมบัตรประชาชนของผู้เข้าพัก มีค่ามัดจำคีย์การ์ด 500 บาทต่อคืน ผมพัก 2 คืนก็ 1,000 บาท เงินส่วนนี้จะได้คืนตอนเช็คเอาท์ครับ
ห้องพักที่นี่จะมีหลายแบบครับ
ห้องมาตรฐาน เตียงใหญ่ (1 Double Bed Standard)
ห้องมาตรฐาน 2 เตียงเดี่ยว (2 Single Beds Standard)
ห้องซูพีเรีย เตียงแฝด (Twin Superior)
ห้องสำหรับครอบครัว เตียงใหญ่และเตียงสองชั้น (Family 1 Double and 1 Bunk Bed)
ห้องสำหรับครอบครัว (Family)
ผมมากับเพื่อนก็เลือกแบบ 2 Single Beds Standard ครับ เดียวไปดูในห้องกัน
ภายในห้องพักเปิดประตูเข้ามาก็จะคล้ายๆกับไอบิสสาขาอื่นๆครับ แต่โทนสีจะดูสบายตามากกว่า ออกโทนครีมๆเขียวๆ
สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ก็ทั่วไปครับ
ตู้เซฟในห้องพัก
เครื่องปรับอากาศ
ฟรี Wi-Fi ทุกห้อง
โทรทัศน์ (เคเบิล)
ไดร์เป่าผม
ผ้าขนหนู
สบู่ ยาสระผม
โทรศัพท์
ระเบียง
กระติกน้ำร้อน ชา กาแฟ
ห้องน้ำที่ Ibis Styles Krabi Ao Nang ผมว่ากว้างกว่าไอบิสปกตินะครับ ตกแต่งโทนสีเขียวเช่นเดิม แบ่งเป็นส่วนเปียกและส่วนแห้ง มีไดร์เป่าผมและสบู่ล้างมือไว้ให้
ชมรีวิวโรงแรมไอบิส อ่าวนาง กระบี่ อย่างละเอียดได้ที่ http://www.mu-ku-ra.com/2017/08/ibis-Styles-Krabi.html ครับผม
สำหรับทริปเที่ยวกระบี่วันแรกของผมก็จบลงเท่านี้ครับ เหนื่อยใช้ได้เลยแต่ก็สนุกดี เดียวไปนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนแล้วมาเที่ยวต่อกันในวันที่สองครับ
มาถึงรีวิวเที่ยวกระบี่ในวันที่ 2 ครับ โดยวันนี้ผมจะออกทะเลไปเที่ยวทัวร์ One Day Trip กระบี่ ไปเกาะห้อง ทะเลใน เกาะผักเบี้ย ครับโดยผมซื้อไว้ราคา 700 บาทรวมอาหารกลางวัน โดยทัวร์จะมารับที่โรงแรมเลยครับ
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่ Ibis Styles Krabi Ao Nang ครับ ถึงจะใช้วอยเชอร์เข้าพัก แต่ก็รวมอาหารเช้าไว้แล้ว คุ้มจริงๆครับ อาหารเช้าก็มีตามมาตรฐานโรงแรมทั่วไปครับ รสชาติก็อร่อยดีครับ
หลังจากที่ลงมาทานอาหารเช้าของ Ibis Styles Krabi Ao Nang แล้วก็มานั่งรอรถมารับที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมครับ
เนื่องจากว่า One Day Trip ทัวร์เกาะที่กระบี่จะมีไปหลายเกาะหลายที่มากครับ รถที่มารับก็จะมีหลายคัน ก็ต้องคอยฟังดีๆครับ ว่าใช้ทัวร์ที่เราจะไปหรือเปล่า
เมื่อรถมารับก็ส่งใบนี้ให้เค้าครับ ใบนี้ผมซื้อและจ่ายเงินแล้ว ราคา 700 บาทต่อคน รวมอาหาร รถรับ-ส่ง โรงแรมแล้ว
จากนั้นก็ขึ้นรถไปที่ท่าเรือกันเลยครับ สำหรับหน้าโลวซีซั่นต้องไปขึ้นเรือที่แถวๆหาดนพรัตน์ธาราครับ ถ้าหน้าไฮซีซั่นคลื่นลมไม่แรงก็อาจจะขึ้นตรงหาดอ่าวนางได้เลย
จุดหมายแรกที่จะแวะก็คือ เกาะผักเบี้ย ครับ
เกาะผักเบี้ย เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางด้านหลังของเกาะห้อง น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาด เหมาะแก่การลงเล่นน้ำบรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วย ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ริมหาด เกาะผักเบี้ย แม้ว่าจะมีแนวชายหาดที่ไม่กว้างมากนัก แต่ก็มีหาดทรายที่ขาวสะอาดไม่แพ้หาดอื่นๆ เมื่อน้ำลงสันทรายที่เกาะผักเบี้ยนี้จะปรากฏเป็นแนวยาวไปจนจรดอีกเกาะหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า เกาะผักเบี้ยเช่นกัน และสามารถเดินถึงกันได้ในเวลาน้ำลงเต็มที่เท่านั้น เพราะในเวลาที่น้ำขึ้น น้ำก็จะแยกเกาะผักเบี้ยออกเป็นสองเกาะนั่นเอง
จุดต่อไปที่แวะคือเกาะเหลาล่าดิงครับ
เกาะเหลาลาดิง (เกาะพาราไดซ์ ) เกาะที่ถูกซุกซ่อนโดย ธรรมชาติแต่แฝงไว้ด้วยความสวยงามของหาดทรายและความเงียบสงบเป็นส่วนตัว เป็นเกาะที่เป็นที่พักอาศัยของกลุ่มสัมปทาน เก็บรังนก แต่ก็ยังเปิดเกาะให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม และพักผ่อน ภายในเกาะนั้นมีหาดทราย ละเอียด มีปลาและปะการัง ให้เล่นน้ำได้อย่างเพลิดเพลิน เกาะเหลาลาดิง เป็นเกาะเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวมักแวะเวียนเข้ามาเมื่อมาเที่ยวยังเกาะห้อง มีลักษณะเป็นภูผา มีป่าเกาะที่สวยงาม และมีแนวชายหาดเล็กๆ อยู่บนเกาะ ทั้งยังมีน้ำทะเลที่ใสสะอาดเหมาะแก่การลงเล่นน้ำ
น้ำที่เกาะเหลาลาดิงใสน่าเล่นมากครับ มีปลาเยอะด้วย
น้ำใสมากๆครับ เห็นแบบนี้ลึกเหมือนกันนะครับ ยังไงก็ควรจะใส่ชูชีพไว้ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย
ปลาเยอะมากๆ เล่นน้ำเหนื่อยๆก็ได้เวลาทานอาหารกลางวันกันแล้วครับ แต่ละเจ้าที่เราซื้อทัวร์มาอาหารก็จะแตกต่างกันนะครับ
สำหรับ One Day Trip กระบี่ ที่ผมซื้อมาอาหารจะประมาณนี้ครับ มีกับข้าว 3 อย่าง
- ผัดผักรวม
- แกงเขียวหวาน
- ไก่ทอด
เราตักข้าวเอง ส่วนกับข้าวไกด์จะเป็นคนตักให้ครับ ถ้าทานไม่อิ่มก็สามารถเติมได้ รสชาติก็พอทานได้ครับ ไม่ได้อร่อยหรือแย่จนเกินไป มีสับปะรดให้ทานล้างปากด้วย
จุดต่อไปที่จะแวะก็คืออ่าวห้อง (ลากูน) ครับ จุดนี้ไม่ต้องลงจากเรือนะครับ เค้าจะให้เราถ่ายรูปจากบนเรือเลย
อ่าวห้อง (ลากูน) ห้องโถงกว้างกลางทะเล เกาะห้องเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะเหลาบิเละ ที่เรือสามารถแล่นเข้าไปได้เมื่อน้ำขึ้น มีทางเข้าออกทางเดียว โดยล่องเรือผ่านช่องผา
มาถึงจุดหมายสุดท้ายของ One Day Trip แล้วครับ นั้นก็คือเกาะห้องนั่นเอง ที่นี่เราจะมีเวลาเยอะสุดครับ ร่วมๆ 2 ชั่วโมงเลย
เกาะห้องเป็นเกาะใหญ่หนึ่งในป่าเกาะ จังหวัดกระบี่ ที่มีเกาะ อยู่มากมายนับร้อยเกาะ เกาะแห่งนี้มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยชายหาดด้านหน้าเกาะที่โค้งเกือบจะเป็นครึ่งวงกลม ร่มรื่น ด้วยแนวป่าชายหาดด้านหลัง น้ำทะเลที่นี่เป็นสีเทอคอยส์ ชวนให้ลงแหวกว่ายไปกับฝูงปลาแสนเชื่อง และทุกเดือน มีนาคม เกาะแห่งนี้จะเป็นที่รวมของฝูงปลาขนาดเล็กมากมาย ที่มาชุมนุมกันอย่างน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงทะเลใน ที่ซ่อนไว้ ซึ่งมุมมองอันวิเศษสุดอีกด้านหนึ่งของเกาะ หมู่เกาะห้อง
เกาะห้องถือเป็นไฮไลท์ของ ทัวร์ One Day Trip วันนี้เลยครับ น้ำทะเลสวย หาดทรายนุ่มละเอียด
ชายหาดที่เกาะห้องจะแบ่งเป็น 2 ชายหาดที่อยู่ติดกัน มีสันทรายเล็กๆ และภูเขาหินแบ่งแยกสองชายหาด ชายหาดทางทิศใต้ และ ชายหาดทางทิศเหนือ
ชายหาดส่วนนี้มีไว้สำหรับลงเล่นน้ำเท่านั้น ห้ามเรือเข้ามาในบริเวณนี้ สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ น้ำทะเลใส ทรายขาว คลื่นก็น้อยมาก เพราะมีแนวภูเขาคอยกันลม กันคลื่น บริเวณริมหาดมีร่มเงาต้นไม้ เหมาะที่จะปูเสื่อ ปูผ้า นอนชมวิว
มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยเป็นระยะๆ ตลอดชายหาดเลยครับ
ก็จบทริป One Day Trip กระบี่ ไปเกาะห้อง ทะเลใน เกาะผักเบี้ย อย่างสมบูณ์โชคดีมากๆที่ไม่เจอฝนเลย ใครมาเที่ยวกระบี่แล้วอยากออกไปเทียวเกาะก็เก็บไว้เป็นตัวเลือกได้ครับ ราคาไม่แพงแถมนั่งเรือไม่ไกลด้วยครับ
ขากลับเรือจะมาส่งที่ท่าเรือประมาณ 3 โมงเย็นครับ แล้วก็จะไปส่งเราที่โรงแรม ก็เป็นอันจบทริปวันที่สองครับ
แต่วันนี้ยังพอมีเวลาเหลือผมตอนเย็นๆผมเลยขับรถมาเที่ยวเล่นถ่ายรูปที่แถวๆหาดนพรัตธาราอีกรอบ
ขากลับโรงแรมก็แวะซื้อโรตีทานครับ ร้านโรตีนี่มีอยู่ทั่วอ่าวนางเลยนะครับ อร่อยดีเหมือนกัน หลังจากนี้ผมก็กลับโรงแรม Ibis Styles Krabi Ao Nang เดียวพรุ่งนี้จะลุยเที่ยวกระบี่กันต่ออีก 1 วัน
มาถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวกระบี่ของผมแล้วครับ วันนี้มีเวลาอีกครึ่งวัน โดยผมจะต้องเอารถเช่าไปคืนที่สนามบินกระบี่ประมาณ 14.00 น. ครับ ตอนแรกกะว่าจะขับรถไปเที่ยวสระมรกต แต่เห็นว่าอากาศดีเลยเปลี่ยนแผนข้ามไปเที่ยวที่ไร่เลย์แทนครับ
เริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้าที่โรงแรมเหมือนเดิมครับ หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จผมก็ทำการเช็คเอาท์ออกเลยครับ เดียวจะเอารถไปจอดแถวๆริมหาดอ่าวนาง จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วเรือเพื่อไปยังหาดไร่เลย์
จุดขายตั๋วเรือไปไร่เลย์จะมี 2 จุดครับ ใครใกล้ตรงไหนก็ไปซื้อตรงนั้นครับ ส่วนผมมาซื้อแถวซอยอ่าวนาง 17 ซึ่งจะเป็นมุมถนนเลียบหาดอ่าวนางพอดี
ตั๋วเรือราคา 200 บาท เป็นราคาไป-กลับ ตั๋วสีแดงคือขาไป ตั๋วสีฟ้าคือขากลับครับ ต้องรอให้ครบ 8 คนนะครับเรือถึงจะออก
จากอ่าวนางไปไร่เลย์โดยเรือหางยาว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีครับ จะลงหาดไหนก็แจ้งกับคนขับเรือได้ครับ
-หาดต้นไทร
-หาดไร่เลย์ตะวันออก
-หาดไร่เลย์ตะวันตก
-หาดถ้ำพระนาง
วันนี้ผมจะไปลงที่หาดไร่เลย์ตะวันออกฝั่งหาดถ้ำพระนางครับ เนื่องจากตอนที่ผมไปน้ำยังขึ้นอยู่ ลงทางนี้จะเดินง่ายกว่า เดียวขากลับผมค่อยเดินไปขึ้นเรือที่หาดไร่เลย์ตะวันตก
หาดไร่เลย์ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็น "เกาะ" แต่จริง ๆ แล้ว หาดไร่เลย์ ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดิน แต่ที่ต้องเดินทางด้วยเรือ เพราะ หาดไร่เลย์ ถูกภูเขาล้อมรอบทุกด้าน ทำให้ผู้คนที่จะเดินทางมาเที่ยว หาดไร่เลย์ ต้องนั่งเรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่อาจเป็นอีกผลหนึ่งทำให้ชาวบ้านที่ หาดไร่เลย์ ยังไม่ถูกเทคโนโลยีหรือความเจริญกลืนกิน รวมถึงวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว
ทรายนุ่มเท้ามากๆครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่านั่งเรือมาจากอ่าวนางแค่ 15 นาที ทะเลถึงสวยต่างกันขนาดนี้
หาดไร่เลย์ ยังมีจุดเด่นที่กิจกรรมการปีนผา เพราะที่ หาดไร่เลย์ มีผาหินปูนมากมาย ซึ่งการปีนผาที่ ไร่เลย์ สามารถทำได้ทั้งปี ตรงหาดพระนางก็เช่นกันครับ มีนักท่องเที่ยวมาปีนผากันเยอะเลยครับ
สามารถชมรีวิววิธีเดินทางมาเที่ยวไร่เลย์อย่างละเอียดได้ที่ http://www.mu-ku-ra.com/2017/08/railay-beach-krabi.html ครับพร้อมทั้งรูปภาพมุมอื่นๆ
ผมอยู่เที่ยวที่หาดไร่เลย์ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ต้องรีบกลับแล้วครับ ขากลับก็เหมือนขามาครับ ต้องรอให้คนครบ 8 คนเรือถึงจะออก
หลังจากนั้นก็เอารถไปเติมน้ำมันเต็มถังครับ ทริปนี้ผมจ่ายค่าน้ำมันไป 250 บาท และก็ขับมาคืนที่สนามบินกระบี่ครับ
ก่อนจะเดินทางกลับด้วยสายการบินแอร์เชีย FD 3224 จากสนามบินกระบี่ (KBV) ขากลับดีเลย์ไป 30 กว่านาทีครับ
ก็เป็นอันจบทริปเที่ยวกระบี่หน้าโลวซีซั่น สนุกดีครับมาเที่ยวเองแบบนี้และโชคดีที่ผมไม่เจอฝนเลย ในช่วง 3 วัน 2 คืนที่อยู่กระบี่ ใครที่กำลังวางแผนเที่ยวกระบี่ก็ลองเอาทริปของผมไปปรับใช้ก็ได้ครับ
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะครับผม....สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น