แต่เมื่อพูดถึงการเดินทาง สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือ สัมภาระต่างๆ ที่เราพกติดตัวไป ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เราควรทำอย่างไรดีกับสัมภาระต่างๆ ที่เรานำไป ในครั้งนี้จะนำเสนอทางเลือกที่จะช่วยให้การท่องเที่ยวของคุณสนุกขึ้น ไร้ข้อกังวลเรื่องสัมภาระ เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นมีจุดฝากกระเป๋าที่เรียกว่า Coin Locker เป็นลักษณะล็อกเกอร์ต่างๆ มีกุญแจล็อกแน่นหนา ซึ่งจะมีล็อกเกอร์หลายขนาด ตั้งแต่ ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่
Coin Locker ต่างๆเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตามสถานีรถไฟ บางตู้ใช้การหยอดเหรียญ บางตู้ชำระเงินโดยใช้ ic-card แตะเพื่อหักเงินจากบัตร
ตู้ล็อคเกอร์ส่วนใหญ่มีกำหนดวันฝากสูงสุดได้ 3 วัน นับ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ 24:00 – 24:00 นาฬิกาของอีกวัน แต่ขนาดของล็อกเกอร์และราคาอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานี เช่น สถานีใหญ่อาจจะมีล็อกเกอร์ขนาดใหญ่ แต่ในสถานีเล็กๆ อาจจะมีแค่ขนาดกลาง หรือบางสถานีอาจไม่มีเลย
คำแนะนำเกี่ยวกับล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า
- จุดฝากกระเป๋าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Coin Locker
- ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋ามีทั้งแบบที่ใช้การหยอดเหรียญ และ ที่ใช้บัตร ic-card (เช่นบัตร Suica หรือบัตร Pasmo เป็นต้น)
- มีล็อกเกอร์หลายขนาด ตั้งแต่ ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
- ขนาดของล็อกเกอร์และราคาอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานี
- มีกำหนดวันฝากสูงสุดได้ 3 วัน ใช้วิธีนับ 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 24:00 – 24:00 นาฬิกาของอีกวันหนึ่ง
- ตามสถานีใหญ่ๆ โอกาสที่ coin locker เหล่านี้จะเต็มมีสูงมาก
- ควรจดจำสถานที่ของล็อกเกอร์ที่ฝากให้ดี อาจใช้วิธีถ่ายรูปหรือจดเลขล็อกเกอร์ก็ได้เพื่อป้องกันการสับสน เนื่องจากภายในสถานีเดียวกันอาจมีจุดให้บริการล๊อคเกอร์หลายจุด
- ควรที่จะตรวจสอบการปิดตู้ให้เรียบร้อย
- ควรเก็บกุญแจไว้ให้ดี
- กรณีที่ชำระเงินโดยใช้บัตร ic-card ตอนมาเปิดตู้เอาสิ่งของออกต้องใช้บัตร ic-card ใบเดียวกันมาเปิดตู้จึงจะทำได้
ตัวอย่างขนาดตู้ล็อกเกอร์ทั่วๆไป
1. หาล็อกเกอร์ที่ยังว่างอยู่ (ตู้ที่ยังว่างคือตู้ที่มีกุญแจเสียบค้างเอาไว้อยู่)
2. ใส่สัมภาระเข้าไปในล็อกเกอร์
3. ปิดประตูตู้
4. หยอดเหรียญให้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้
4. ดึงกุญแจออกเพื่อล๊อค
6. นำกุญแจมาไขเปิดเมื่อต้องการนำกระเป๋าออก
*หมายเหตุ ขั้นตอนการใส่สัมภาระเข้าไปในล็อกเกอร์ในข้อ 2. คุณควรให้แน่ใจว่านำของที่ต้องการใส่เข้าไปครบแล้วทุกชิ้น เนื่องจากเมื่อปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ หยอดเหรียญและล็อคเสร็จไปแล้วเกิดคุณนึกขึ้นได้ว่ายังนำของใส่เข้าไปไม่ครบ หากคุณไขกุญแจเปิดประตู ระบบจะกินที่คุณเพิ่งหยอดไปเลย ทำให้คุณต้องหยอดเงินใหม่อีกรอบ
ตู้ล็อคเกอร์รุ่นใหม่ มักมีวิธีใช้บริการเป็นภาษาอังกฤษกำกับอยู่ ขั้นตอนการใช้มีดังนี้
กรณีจ่ายเงินโดยเงินสด
1. หาล็อกเกอร์ที่ยังว่างอยู่ (ตู้ที่ยังว่าง จะไม่มีดวงไฟปรากฏ) จดจำหมายเลขตู้เอาไว้
2. ใส่สัมภาระเข้าไปในล็อกเกอร์แล้วปิดประตู
3. ไปที่หน้าจอ กดเลือกภาษาอังกฤษ หน้าจอจะโชว์รูปตู้ล็อกเกอร์ที่เราเพิ่งเอาของใส่เข้าไป หากไม่โชว์ให้เลือก “Put in the Bag” แล้วพิมพ์หมายเลขตู้ของเรา
4. เลือกวิธีชำระเงินโดยกดปุ่ม “Cash”
5. ชำระค่าใช้จ่ายตามที่แจ้ง โดยหยอดเป็นเหรียญ
6. รับใบเสร็จรับเงิน ในใบเสร็จรับเงินจะมีเลขพาสเวิร์ด (PIN) เอาไว้ ต้องเก็บไว้ให้ดี
7. เมื่อต้องการเปิดตู้เอาสัมภาระออก ให้ไปกดที่หน้าจด เลือกภาษาอังกฤษ แล้วเลือก “Take out the Bag”
6. เลือกปุ่มพิมพ์หมายเลขล็อกเกอร์
7. พิมพ์ตัวเลขล็อกเกอร์ของเรา พร้อมพิมพ์พาสเวิร์ด (PIN) ตามที่แจ้งไว้ในใบเสร็จรับเงิน
8. ประตูตู้ล็อกเกอร์ของเราจะเปิดออก
9. นำของออกจากล็อกเกอร์
ตู้ล็อคเกอร์รุ่นใหม่ มักมีวิธีใช้บริการเป็นภาษาอังกฤษกำกับอยู่ ขั้นตอนการใช้มีดังนี้
กรณีจ่ายเงินโดยบัตร ic-card เช่นบัตร Suica บัตร Pasmo และอื่นๆ
1. หาล็อกเกอร์ที่ยังว่างอยู่ (ตู้ที่ยังว่าง จะไม่มีดวงไฟปรากฏ) จดจำหมายเลขตู้เอาไว้
2. ใส่สัมภาระเข้าไปในล็อกเกอร์แล้วปิดประตู
3. ไปที่หน้าจอ กดเลือกภาษาอังกฤษ หน้าจอจะโชว์รูปตู้ล็อกเกอร์ที่เราเพิ่งเอาของใส่เข้าไป หากไม่โชว์ให้เลือก “Put in the Bag” แล้วพิมพ์หมายเลขตู้ของเรา
4. เลือกวิธีชำระเงินโดยกดปุ่ม Suica
5. ชำระค่าใช้จ่ายตามที่แจ้ง โดยนำบัตร Suica แตะที่แป้น
6. รับใบเสร็จรับเงิน
7. เมื่อต้องการเปิดตู้เอาสัมภาระออก ให้ไปกดที่หน้าจด เลือกภาษาอังกฤษ แล้วเลือก “Take out the Bag”
6. เลือกปุ่ม SUICA
7. นำบัตร SUICA แตะที่แป้น
8. ประตูตู้ล็อกเกอร์ของเราจะเปิดออก
9. นำของออกจากล็อกเกอร์
ข้อมูล : Japan National Tourism Organization , Travel Thaiza
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น